หนังโลกที่เราอยากดู : Force Majeure (2014) – มนุษย์ ‘เพศชาย’ ?
![Force Majeure - poster]()
รูเบน ออสต์ลุนด์ (Ruben Östlund) ผู้กำกับ-เขียนบทชาวสวีเดนคนนี้อายุครบ 40 พอดีในช่วงเสร็จสิ้นจากงานสเปเชียลเอฟเฟ็คต์ของ Force Majeure ซึ่งกลายมาเป็นผู้คว้ารางวัล Jury Prize จากสาย Un Certain Regard ในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2014 …นี่เป็นผลงานลำดับ 4 ของเขา ถัดจาก Guitar Mongoloid (2005) หนังสารคดีเทียมเล่าชีวิตของเหล่า ‘คนนอก’ แห่งเมืองโกเธนเบิร์กที่มีตัวละครเอกเป็นเด็กน้อยดาวน์ซินโดรมผู้นิยมเล่นเครื่องดนตรีในชื่อหนัง, Involuntary (2008) หนังสุดเจ็บว่าด้วยผู้คนที่ยึดมั่นถือมั่นในหลักการส่วนตัวชนิดหัวชนฝาจนชีวิตหายนะลงทุกทีๆ และ Play (2011) หนังดราม่าจิตวิทยาที่หยิบปัญหาการข่มเหงรังแกในหมู่วัยรุ่นมาตีแผ่ได้รุนแรงหม่นมืดราวกับเป็นหนังของ มิคาเอล ฮาเนเคอ ก็ไม่ปาน โดยทั้งสามเรื่องนี้ล้วนโดดเด่นด้วยงานภาพมุมกว้างเนิบนานแช่นิ่ง
![RUBEN ÖSTLUND]()
RUBEN ÖSTLUND
Force Majeure เป็นส่วนผสมที่น่าสนใจสุดๆ ของหนังตลกร้ายกับหนังดราม่าสไตล์ฮาเนเคอ เล่าถึงครอบครัวชนชั้นกลางค่อนบนซึ่งประกอบด้วย เอ็บบา กับ โทมัส คู่สามีภรรยา, เวรา ลูกสาววัย 12 และ แฮร์รี ลูกชายวัย 8 ขวบ ที่ความสัมพันธ์มีอันต้องล่มสลายเมื่อโทมัสไม่อาจทำตัวตอบสนองความคาดหวังของสังคมได้ เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่งระหว่างการท่องเที่ยวเล่นสกีที่ครอบครัวแสนสุขีนี้กำลังนั่งกินมื้อกลางวันกันบนระเบียงร้านหรูพลางทอดสายตาชื่นชมความตระการตาของเทือกเขาแอลป์ ฉับพลันนั้นปรากฏก้อนหิมะไหลหล่นลงมาตามแนวเขา สร้างความตื่นเต้นกระตู้วู้แก่บรรดานักท่องเที่ยวที่รีบคว้ากล้องมือถือขึ้นหวังเก็บภาพน่าตื่นเต้นเป็นการใหญ่ ทว่า ช่างโชคร้าย…หิมะเพิ่มความเร็วและปริมาณในการถล่มหนักขึ้นทุกที ยิ่งกว่านั้นคือมันมุ่งหน้าเข้าหาร้านอาหารแห่งนี้โดยตรง!
แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาอย่างไม่อาจเลี่ยงจึงคือความโกลาหลครั้งใหญ่ แฮร์รีระเบิดเสียงร้องหาพ่อ แต่สิ่งที่โทมัสทำกลับคือการคว้าถุงมือกับโทรศัพท์แล้ววิ่งหนีเอาตัวรอดตามลำพังโดยทิ้งลูกเมียไว้เบื้องหลัง …ความวิบัตินี้จบลงด้วยการที่ทุกคนรอดตายมาได้ ทว่ามันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งบาดแผลในจิตใจอันยากเยียวยาที่นำพาทุกคนในครอบครัวนี้ไปสู่ความดำมืด
วันรุ่งขึ้นหลังรอบปฐมทัศน์ที่คานส์ของ Force Majeure ผ่านพ้นไปอย่างงดงามด้วยการสแตนดิงโอเวชันของคนดู เรามานั่งคุยกับ รูเบน ออสต์ลุนด์ บนระเบียงเงียบๆ ของ Palais อันเป็นสถานที่จัดเทศกาล พลางทอดสายตาชื่นชมเรือยอชต์กว่าสิบลำที่เทียบท่าอยู่อย่างนิ่งสงบเบื้องล่าง….
![Force Majeure 01]()
BIOSCOPE : เรามาคุยถึงหนังเรื่องนี้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นกันเลยนะครับ
ออสต์ลุนด์ : ได้ครับ …สำหรับผมขั้นตอนที่น่าสนใจที่สุดขั้นหนึ่งในการทำหนังก็คือการหาข้อมูล พอดีช่วงนี้ผมกำลังสนใจเรื่องศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรมนิยม (Behaviorism – ทฤษฎีที่ให้ความสำคัญในการศึกษาพฤติกรรม โดยเชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า) ก็เลยได้อ่านงานวิจัยทางสังคมวิทยาสองชิ้นว่าด้วยผลกระทบหลังหายนะภัย ชิ้นนึงเกี่ยวกับเหตุการณ์จี้เครื่องบิน อีกชิ้นเกี่ยวกับเรือล่มซึ่งข้อมูลที่สังเกตเห็นได้ชัดจุดหนึ่งก็คือ คู่ผัวเมียที่รอดตายมาจากเครื่องบินจะมีสถิติหย่าร้างสูงมาก เหตุผลง่ายๆ ข้อแรกคือมันอาจเป็นผลจากการที่จิตใจของทั้งคู่บอบช้าจากสถานการณ์ จนทำให้เกิดคำถามเรื่องการดำรงอยู่ของตัวเองขึ้นมา เช่น “ทำไมฉันถึงรอด?” “ฉันมีชีวิตเพื่ออะไร?” “ทำไมฉันจึงทำอะไรๆ แบบที่ฉันทำ?” และ “แล้วฉันควรจะใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไปรึเปล่า?” แต่นอกจากนั้นการหย่าร้างยังอาจเป็นเพราะเราเริ่มมองเห็นด้านที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของคนรัก และ ตัดสินใจว่าไม่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับคนคนนี้อีกต่อไปแล้วก็ได้
ในหนังสือที่พูดถึงเหตุการณ์เรือล่มตั้งแต่ Titanic (1912) มาจน Estonia (1994) ยังบอกตัวเลขสถิติที่น่าสนใจมากๆ ด้วยครับ เช่น คนที่รอดตายมักจะเป็นผู้ชายวัย 25-50 ปี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งอย่างจังเลยกับตำนานเรือไททานิกที่เล่ากันมานานว่าผู้ชายบนนั้นเสียสละให้ผู้หญิงกับเด็กหนีก่อน กติกามารยาทของสังคมมักสอนเราว่าผู้ชายต้องปกป้องครอบครัวด้วยการเป็นฝ่ายต้อนลูกเมียให้ขึ้นเรือชูชีพก่อนตัวเอง แต่ในความเป็นจริง ผู้ชายกลับมักเห็นแก่ตัวทันทีเมื่อถึงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
![Force Majeure 06]()
อีกข้อมูลนึงในหนังสือที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ กัปตันและลูกเรือมีสถิติรอดชีวิตมากกว่าผู้โดยสาร อย่างกรณีเรือกอสตากอนกอร์เดียล่มเมื่อสองปีก่อนและเรือล่มที่เกาหลีใต้เมื่อเร็วๆ นี้ก็เหมือนกัน …คนตะวันตกเรามีวาทะสรุปความคาดหวังที่สังคมมักมีต่อเหตุการณ์จำพวกนี้ว่า “กัปตันจมกับเรือ” (“The captain goes down with the ship”) แต่ก็อีกแหละครับ ความคาดหวังขัดแย้งกับความเป็นจริงเสมอ
จุดที่ผมสนใจระหว่างการหาข้อมูลก็คือเรื่องความคาดหวังอะไรทำนองนี้นี่แหละ หนังหรือวรรณกรรมเยอะแยะที่เราเคยดูกันมักจะมีตัวละครเอกเป็น ‘วีรบุรุษ’ ขณะที่ในชีวิตจริงเวลาพูดถึงเหตุการณ์น่ากลัวๆ เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไททานิกล่ม หรือ 9/11 เราก็มักจะให้ความสำคัญกับการยกย่องพฤติกรรมแสดงความกล้าหาญของปัจเจก ซึ่งมันไม่ได้ใกล้เคียงกับความจริงเลย อันที่จริงผู้ชายส่วนใหญ่ที่รอดตายจากสถานการณ์เหล่านี้มาได้จะรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลาเพราะเขามักทำอะไรขัดแย้งกับที่สังคมคาดหวัง โดยเฉพาะการที่เขาวิ่งหนีเอาตัวรอดมาคนเดียว
ฉะนั้น ก็เลยน่าตั้งคำถามว่า เพราะอะไร‘การวิ่งหนีเอาตัวรอด’ ถึงได้ถูกประทับตราเป็นอาชญากรรมที่ชั่วร้ายที่สุดสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นพ่อ? ประเด็นที่ผมอยากสำรวจใน Force Majeure ก็คือ ผู้ชายถูกสังคมคาดหวังให้ต้องเล่นบทบาทพ่อยังไง โดยแทนที่จะใช้ฉากหลังเป็นเหตุการณ์จี้เครื่องบินหรือเรือล่มทั่วๆ ไป ผมก็เลือกใช้เหตุการณ์ระหว่างการเล่นสกีซึ่งผมเคยถ่ายวิดีโอสั้นๆ ไว้เพียบสมัยเด็กมาเป็นฉากหลังแทน โดยกำหนดให้เรื่องราวเกิดขึ้นที่รีสอร์ตหน้าหนาวครับ
![Force Majeure 03]()
BIOSCOPE : หนังไม่ได้ตั้งคำถามกับแค่ความคาดหวังที่สังคมมีต่อผู้ชาย แต่ยังมีตัวละครเพื่อนผู้หญิงของเอ็บบาซึ่งพูดเรื่องการแต่งงานกับครอบครัวด้วยทัศนคติแบบเสรีนิยมซะจนเอ็บบาช็อคไปเลย
ออสต์ลุนด์ : ใช่ครับ ครอบครัวเดี่ยวสมัยนี้ที่ประกอบด้วยแม่ พ่อ กับลูกสองคนเป็นตัวสำคัญเลยล่ะ ในการสร้างทัศนคติที่เรามีต่อตัวเอง ผมเชื่อว่าเหตุที่ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่อนุรักษ์นิยมที่สุดก็เป็นผลมาจากทัศนคติของการอยู่กันแบบครอบครัวเดี่ยวนี่แหละ ลักษณะแบบนี้ไม่ค่อยมีในช่วงปลายยุค 1800 ซึ่งคนอยู่กันแบบครอบครัวขยาย มีปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ลูกสะใภ้หลานสะใภ้อยู่รวมในบ้านเดียวกันหมด แต่สภาพเศรษฐกิจ ระบบการผลิต ระบบธุรกิจบีบให้เราต้องโยกย้ายเข้าเมือง ต้องมีพื้นที่อยู่อาศัยเล็กลง ต้องตัดตัวเองออกจากคนรุ่นเก่านำมาสู่การต้องสร้างกฎกติกาใหม่ ต้องสร้างความเชื่อใหม่เกี่ยวกับครอบครัวเดี่ยวเพื่อจะได้ผลักดันให้เกิดวิถีชีวิตแบบใหม่ แต่แน่นอนว่าครอบครัวเดี่ยวเป็นอะไรที่เปราะบางมาก ถ้าพ่อแม่ต้องออกจากบ้านไปทำงาน ก็แปลว่า จะไม่มีใครอยู่บ้านดูแลลูกๆ ขณะที่ถ้าเป็นครอบครัวใหญ่ ต่อให้พ่อแม่ออกไปทำงานก็ยังมีญาติๆ ช่วยดูแลเด็กให้อีกเยอะแยะ
แม้แต่รีสอร์ตสกีที่เป็นฉากหลังของ Force Majeure เอง ในทางประวัติศาสตร์ก็ยังเป็นสถานที่ที่ถูกออกแบบโครงสร้างให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของมนุษย์เงินเดือน (ซึ่งโดยมากก็คือผู้ชาย) อีกเหมือนกันครับ เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พนักงานกินเงินเดือนเริ่มมีเงินเก็บมากพอจะพาครอบครัวไปเที่ยวหรูๆ ได้ รัฐบาลฝรั่งเศสเลยลงทุนสร้างรีสอร์ตสกี 3 แสนเตียงในซาวอยเพื่อรองรับคนเหล่านี้ ซึ่งผมว่ามันน่าสนใจดีถ้าเราจะลองมองเรื่องพวกนี้ในมิติของโครงสร้างทางสังคม มันเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อเกี่ยวกับครอบครัวเดี่ยวทั้งหมดเลย
และก็อย่างที่คุณบอกน่ะครับ ตัวละครเพื่อนของเอ็บบายิ่งเป็นตัวดันประเด็นความล่มสลายของโครงสร้างครอบครัวตามขนบให้ไปสุดขั้ว เพราะเธอปฏิเสธแนวคิดความสัมพันธ์ผัวเดียวเมียเดียว เธอเชื่อว่าตราบใดที่ลูกๆ มีคนดูแลได้โอเค ก็ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นคนทำหน้าที่นั้น ยิ่งถ้ามีเงินจ้างคนมาเลี้ยงลูกแทนได้ก็ยิ่งดี! สิ่งสำคัญสำหรับเธอไม่ใช่ครอบครัวขยายหรือกระทั่งครอบครัวเดี่ยวด้วยซ้ำ แต่คือตัวเธอเอง
![Force Majeure 04]()
BIOSCOPE : ประเด็นสามารถเล่าได้หลายแบบ เช่นว่าเป็นหนังแบบเบิร์กแมนหรือฮาเนเคอก็ได้ …แล้วทำไมคุณถึงเลือกเล่าเป็นหนังตลก
ออสต์ลุนด์ : ผมพยายามผสมคอมิดีกับดรามาในหนังผมทุกเรื่อง แม้แต่ Play ผมว่าก็ตลกนะ ต่อให้เล่นกับประเด็นแรงๆ อย่างเด็กรังแกกันหรือความสัมพันธ์ของสีผิวซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้เลยว่าสามารถขำได้รึเปล่า ผมรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จนะถ้าสามารถทำฉากที่เริ่มมาแบบน่ากลัวแล้วจู่ๆ ก็น่าขำขึ้นมาซะงั้น ผมชอบเวลาที่คนดูไม่แน่ใจว่าควรจะมีปฏิกิริยายังไงดีกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
การปะทะกันระหว่างดรามากับคอมิดีแบบนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะตัวละครหลักจริงๆ ในหนังของผมคือตัวสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวคนอย่างในเรื่องนี้ตัวละครหลักไม่ใช่เอ็บบาหรือโทมัส แต่คือสถานการณ์ที่โทมัสไม่สามารถปกป้องครอบครัวได้ ประเด็นที่เราเล่นค่อนข้างจะเป็นเชิงทฤษฎีหน่อยน่ะครับ แกนของหนังไม่ได้เกี่ยวกับปูมหลัง ชนชั้นทางเศรษฐกิจสังคมหรือประวัติความสัมพันธ์ใดๆ ของตัวละครเลย แต่อยู่บนพื้นข้อเท็จจริงง่ายๆ ที่ว่า คนพวกนี้เป็นมนุษย์และเขาก็ถูกจับโยนเข้าไปใส่ในสถานการณ์ที่ว่านั่น
![Force Majeure 02]()
BIOSCOPE : โทมัสถึงได้พูดใช่มั้ยว่าเขาเป็น ‘เหยื่อของสัญชาตญาณตัวเอง’
ออสต์ลุนด์ : ที่สวีเดน ผมมีเพื่อนเป็นเฟมินิสต์ฮาร์ดคอร์หลายคนซึ่งบอกว่านั่นเป็นประโยคที่ฮาที่สุดในหนังเลยล่ะ ถ้าโทมัสมีตัวจริงก็คงโดนพวกนี้ด่าว่า “แกคิดว่าแกเป็นเหยื่อเรอะ? แกไม่ใช่เหยื่อซะหน่อย แกเป็นผู้ชายผิวขาวต่างหาก!” เพราะข้อแก้ตัวของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาโง่เง่าและล้าหลังทางการเมืองขนาดไหน
แต่ในเวลาเดียวกัน อย่าลืมว่ากัปตันเรือกอสตากอนกอร์เดียก็พูดประโยคนี้ออกมาจริงๆ นะครับ เขาบอกว่า “ผมเป็นเหยื่อของสัญชาตญาณตัวเอง” ซึ่งเขาก็พูดถูก เขามีบทบาทเป็น ‘กัปตัน’ และในฐานะกัปตัน เขาย่อมถูกคาดหวังว่าต้องทำอะไรบางอย่างหากเรือประสบภัย แต่เมื่อสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำงาน เขาก็ลืมทุกสิ่งที่ต้องทำและเลือกทำสิ่งที่สังคมรับไม่ได้แทน แล้วหลังจากนั้นก็ต้องมาเผชิญหน้ากับสังคมเพื่อรับผลของสิ่งที่ทำลงไปจุดที่ผมคิดว่ากัปตันคนนี้ทำผิด หรือพูดอีกอย่างว่าเป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนซึ่งตกอยู่ใต้แรงกดดันของสังคมมักทำผิด ก็คือการที่เขาเริ่มโกหกน่ะครับ เริ่มหาข้อแก้ตัวโง่ๆ เช่นว่า เขารอดตายมาได้ก็เพราะ “บังเอิญหล่นลงไปในเรือชูชีพ” ซึ่งใครจะเชื่อวะนี่?! โทมัสก็พยายามอ้างเหมือนกันว่าเขาไม่ได้ ‘วิ่งหนี’ครอบครัวไปแบบที่เอ็บบาด่าซะหน่อย เพราะ“ตอนนั้นผมใส่รองเท้าสกีอยู่นะ จะวิ่งได้ยังไงเล่า!” ซึ่งคำแก้ตัวบ้าๆ แบบนี้ยิ่งทำให้ดู ‘ไม่แมน’ ไปกันใหญ่
แต่กระนั้น ต่อให้เรายอมรับความเป็นจริงหรือยอมรับ ‘ความล้มเหลว’ มันก็ยังไม่มากพอจะทำให้ทุกๆ คนพอใจได้อยู่ดี ผมมีเพื่อนที่เคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ มีคนนึงไปเดินห้างในฟิลิปปินส์แล้วเจอมือปืนไล่ยิงคน ตอนนั้นแฟนเขากำลังลองเสื้อผ้าอยู่ แต่พอตัวเขาได้ยินเสียงปืนปุ๊บก็โดดไปหลบหลังเคาน์เตอร์คิดเงินปั๊บ หลังจากนั้นแฟนบ่นว่า“ทำไมไม่วิ่งมาหาฉันล่ะ” เขาตอบว่า “จะบ้าเหรอ? คิดว่าผมเป็นพระเอกหนังแอ็กชันรึไง?”แล้วไม่กี่อาทิตย์ต่อมาสองคนนี้ก็เกือบเลิกกัน เห็นมั้ยว่าต่อให้เขาสารภาพอย่างซื่อสัตย์ว่าตัวเอง ‘ทำผิด’ แต่เหตุการณ์นี้ก็เปลี่ยนกฎความสัมพันธ์ของพวกเขาไปถึงระดับรากอยู่ดี
BIOSCOPE : ถ้าคุณเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้างล่ะ คุณจะทำยังไง
ออสต์ลุนด์ : (หัวเราะ) ถ้าดูจากสถิติ ผมว่าผมคงวิ่งหนีนะ แต่จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้เราคิดล่วงหน้าไม่ได้หรอก ผมว่ารายละเอียดของสถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดเองว่าแต่ละคนจะมีปฏิกิริยายังไง เช่น ถ้าตอนนั้นผมอยู่ใกล้ประตูทางออกพอดี ผมก็คงวิ่งหนีไปเลย หรือถ้าข้างหน้ามีคนบังทางอยู่ ผมก็คงหาวิธีอื่น รายละเอียดของสถานการณ์นี่แหละที่สำคัญต่อการตัดสินใจของคนเราในชั่ววินาทีนั่น
แต่เมียเก่าผมเค้าเชื่อจริงๆ เลยนะว่าผมจะไม่วิ่งหนีแน่ๆ!
![Force Majeure 05]()
BIOSCOPE : เมียเก่า!?
ออสต์ลุนด์ : ช่าย…ตลกดีเนอะ อันที่จริงผมค่อนข้างจะเหมือนตัวละคร แม็ตส์ เพื่อนของโทมัสนะ เพราะผมชอบมองสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุผลจัดๆ แต่ในเวลาเดียวกันผมก็เฮิร์ตง่ายถ้าโดนใครมองว่านิสัยบางอย่างของเราเป็นข้อด้อย อย่างความที่ผมเป็นผู้ชายก็มักจะถูกจับโยนเข้ากลุ่ม ‘พวกผู้ชาย’ และถูกตัดสินแบบเหมารวมอยู่เรื่อย ถ้าผู้หญิงพูดขึ้นมาว่า “พวกผู้ชายอย่างคุณน่ะ….” ผมจะรู้ทันทีเลยว่าเดือดร้อนแน่ ไม่ว่าจะเพราะ ‘พวกผู้ชาย’ มักมีปัญหาอะไรสักแง่ หรือเพราะตัวผมเองทำตัวไม่ได้มาตรฐานตามที่ ‘ผู้ชาย’ ควรเป็นก็เถอะ
ถึงที่สุดแล้ว เราทั้งหลายไม่ว่าชายหรือหญิงก็เป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น มนุษย์ย่อมมีความกลัว มีสัญชาตญาณ มีสติสัมปชัญญะ มีจิตใจ มีร่างกาย ฯลฯ เคล็ดลับอยู่ตรงที่เราต้องสร้างสมดุลให้ได้ ช่วงท้ายๆ ของหนัง Force Majeure ตัวละครจะรู้สึกละอายใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกที่ละทิ้งกันไปเพราะความกลัว พวกเขาสงสัยว่าตัวเองกลัวเว่อร์ไปรึเปล่า แต่หลังจากนั้นเมื่อขึ้นไปเดินบนภูเขาด้วยกันอีกครั้ง แต่ละคนก็เริ่มรู้สึกว่านี่แหละคือความเป็นมนุษย์ และไม่ว่าความกลัวที่เกิดกับพวกเขาจะมีเหตุผลหรือไม่ มันก็เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น เมื่อถึงจุดนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหลบหนีไปไหนอีกแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับได้เสียทีในสิ่งที่ตัวเองเป็น
***ส่วนหนึ่งจาก Scoop – Cannes 2014 Exclusive Interview
โดย โรเบิร์ต ดับเบิลยู เดวิส (Robert W. Davis) ผู้สื่อข่าวพิเศษประจำเทศกาลหนังเมืองคานส์ของ BIOSCOPE
นิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 150 (ก.ค. 57)
The post หนังโลกที่เราอยากดู : Force Majeure (2014) – มนุษย์ ‘เพศชาย’ ? appeared first on Mthai Movie.