Quantcast
Channel: ข่าวหนัง arthouse สารคดี – MThai Movie
Viewing all 143 articles
Browse latest View live

หนังโลกที่เราอยากดู : The Way He Looks (2014)

$
0
0

The Way He Looks (2014) : ความรักไม่ต้องการเรตินา

The Way He Looks (2014)

ไม่บ่อยนักที่จะมีหนังจากบราซิลเข้าฉายในบ้านเราอย่างเป็นทางการ (ไม่นับตามเทศกาลหนัง หรือการฉายตามวาระพิเศษต่างๆ) แต่ที่น่าสนใจคือ หนังเรื่องนี้ถูกซื้อเข้ามาจัดจำหน่ายโดย ‘คนดูหนัง’ ที่หลงรักหนังเรื่องนี้อย่างเต็มเปี่ยม จนถึงขั้นลงทุนซื้อหนังมาฉายด้วยตัวเอง พร้อมเข้าฉายในไทยวันที่ 19 มีนาคมนี้แล้ว

ที่สำคัญคือ หนังเรื่องนี้เป็นรัก (สามเส้่า) วัยรุ่นบราซิล ที่เล่าประเด็นเพศสภาพได้คมคาย แถมยังดำเนินเรื่องผ่านตัวละครเด็กหนุ่มตาบอดอีกด้วย!!

The Way He Looks 01

ลีโอนาร์โด เด็กหนุ่มตาบอดแต่กำเนิดหน้าตาดีที่มีเพื่อนสนิทเป็นหญิงเก้งก้างชื่อ จิโอวานา ผู้คอยพาเขากลับไปส่งบ้านจนโดนพวกหัวโจกเรียกว่าหมานำทาง เธอดูจะแอบชอบเขาอยู่ ทว่าทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อนักเรียนหนุ่มหล่อนาม กาเบรียล เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของชั้นเรียนที่เสียงเครื่องพิมพ์ดีดอักษรเบรลล์ของลี โอนาร์โดดังอยู่ตลอด นักเรียนใหม่เข้ามาสนิทสนมกับคู่เพื่อนสนิท ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะเริ่มจับสังเกตได้ว่าเพื่อนตาบอดของเธอน่าจะคิดกับกาเบรียลเกินเพื่อนซะแล้ว

The Way He Looks 02

ผู้กำกับ เดเนียล ฆิเบโร (Daniel Ribeiro) เคยคว้ารางวัลหมีแก้ว (หนังเด็ก) สาขาหนังสั้นมาแล้วจาก Café com Leite (2007) ก่อนจะคว้ารางวัลแทบทั่วโลกจากหนังสั้น I Don’t Want to Go Back Alone (2010, เคยฉายในเทศกาลหนังสั้นของมูลนิธิหนังไทย) ซึ่งเรื่องหลังนี่เองที่เขาหยิบมาขยายบทให้กลายเป็นหนังยาวแล้วคว้าทุนจากเบอร์ลินทาเลนต์แคมปัส ทำออกมาเป็น The Way He Looks โดยใช้สามนักแสดงหลักทีมเดิม และเพิ่งไปชนะรางวัลเท็ดดี้ (หนังเกี่ยวกับ LGBT ยอดเยี่ยม) ที่เบอร์ลินปีล่าสุด

หนังสั้น I Don’t Want to Go Back Alone (2010) ก่อนขยายมาเป็นหนังยาวในที่สุด

โดยสิ่งที่โดดเด่นของหนังเรื่องนี้คือ การเป็นหนังรักวัยรุ่นที่กลมกล่อมทั้งในการนำเสนอประเด็นรักร่วมเพศที่มีมิติ ผสานเข้ากับเพลงป๊อปๆ ของ Belle and Sebastian และนักแสดงวัยรุ่นป๊อปๆนำไปสู่การเป็นหนังแบบสาววายที่เรียกเสียงกรีดร้องได้ไม่ยาก (เป็นเครื่องยืนยันต่อวงการหนังว่าเราสามารถจิ้นได้โดยไม่ต้องเสียสติเสมอไป)

“คุณไม่มีทางได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมทางสายตา (visual culture) แน่ ถ้าเป็นคนตาบอด ชีวิตในโรงเรียนและระบบสังคมที่ขีดเส้นแบ่งเพศไว้เป็นชายหญิงอีกล่ะ คำถามสำคัญก็คือ แล้วทำไมลีโอนาร์โดถึงเป็นเกย์ หรืออย่างน้อยที่สุด ทำไมเขาถึงชอบผู้ชาย ทำไมเขาชอบกาเบรียล เขาไม่ได้ตัดสินจากหน้าตาด้วยซ้ำ”

The Way He Looks 03

แม้ว่านักแสดงทีฆิเบโรเลือกมาตั้งแต่ฉบับหนังสั้นนั้นจะหล่อจนเราจินตนาการตามได้ไม่ยาก ถ้าสองคนนี้จะได้กัน “ในขณะที่เรามักเชื่อมโยงเรื่องทางเพศเข้ากับการมองเห็น การเลือกตัวละครเป็นคนตาบอดคือการกระตุกให้เกิดคำถาม” ใช่แล้ว ในเมื่อลีโอนาร์โดที่ตาบอดมาทั้งชีวิตย่อมไม่เคยจินตนาการถึงความรู้สึกประทับใจในเพื่อนเพศชาย ทำไมจึงเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้ล่ะ? หนังลงไปสำรวจความเป็นมนุษย์ของตัวละครทั้งสามภายใต้ความสัมพันธ์หวานๆ ชวนลุ้นนี้ได้อย่างน่าหลงใหลและมีชั้นเชิงเมื่อขยายเป็นหนังยาว ฆิเบโรยังคงแกนหลักของเรื่องไว้ครบถ้วนพร้อมกับเพิ่มประเด็นความเป็นวัยรุ่นที่เป็นสากลเข้ามา เมื่อลีโอนาร์โดเองก็รู้สึกอยากเป็นตัวของตัวเองไม่ใช่เพียงในเรื่องเพศ แต่ในด้านทางเลือกของชีวิต ภายใต้ครอบครัวที่มีแม่ซึ่งเป็นห่วงจนแทบไม่ให้เขาได้ทำอะไรเอง – รวมถึงการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนที่ใช้ความผิดปกติทางร่างกายมาเป็นเครื่องเล่นสนุก และแน่นอนว่าตัวละครเหล่านั้นย่อมไม่อาจจินตนาการถึงความหลากหลายทางเพศได้ แม้จะล้อเลียนลีโอนาร์โดกับกาเบรียลว่าเป็นคู่เกย์กันก็ตาม

The Way He Looks 04

“ผมดึงเอาส่วนประกอบที่เฉพาะตัวมากๆ ทั้งการที่ตัวละครเป็นเกย์กับเป็นคนตาบอด ดึงลงมาทำให้ดูสากลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวละครว่า เฮ้ย ฉันก็เคยรู้สึกแบบนี้ แอบชอบคนอื่นเหมือนที่ไอ้คนนี้เป็นเลย ทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อมโยงกับคนที่แตกต่างจากเรา” ผู้กำกับหนุ่มกล่าว “ทั้งหมดนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดความอดทนอดกลั้นเมื่อคุณพบเจอกับสิ่งที่ต่างจากความคุ้นเคยมากๆ หรือขัดกับความรู้สึกของตนเองมากๆ”

รางวัลที่เคยได้รับ : Best Feature Film / รางวัล Teddy Award และ Audience Award อันดับ 2 สาย Panorama เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลิน เยอรมนี

หมายเหตุ : อ่านเรื่องราวของคนรักหนังคนนี้ได้ ที่นี่

***เรียบเรียงจาก BIOSCOPE : World Cinema Issue (Online Only At Okkbee)

The post หนังโลกที่เราอยากดู : The Way He Looks (2014) appeared first on Mthai Movie.


รื้อหิ้งหนังเก่า : 9 Songs (2004)

$
0
0

9 Songs (2004) : ขยับร็อค เขย่ารัก!!

9 Songs poster

หนึ่งในภาพยนตร์ที่คอหนังนอกกระแสบ้านเรารู้จักกันเป็นอย่างดี ไปจนถึงนักดูหนังทั่วไปที่สนใจความหวือหวาของหนังสุดอื้อฉาวจากประเทศอังกฤษเรื่องนี้ ด้วยความแรงแบบอันเซ็นเซอร์ของสองพระนางที่จัดเต็มชนิดหมดตัว ผสมผสานกับสไตล์การกำกับภาพอันสุดเท่ จนทำให้คนดูรู้สึกก่ำกึ่งกับมันไม่น้อยว่า จริงๆ แล้วมันคือภาพยนตร์ศิลปะ หรือก็แค่หนังโป๊เรื่องหนึ่งเท่านั้น!?

สำหรับ ไมเคิล วินเทอร์บอตทอม (Michael Winterbottom ผู้กำกับเจ้าของผลงานสุดเปรี้ยวอย่าง 24 Hour Party People – 2002 หรือ สารคดีสุดแรง The Road to Guantanamo – 2006) แล้ว เขาเว้าซื่อๆ แบบไม่อ้อมค้อมเลยว่า แค่ต้องการทำหนังเกี่ยวกับ ‘เซ็กซ์’ ก็เท่านั้น ประเด็นอยู่ที่วินเทอร์บอตทอมคิดว่าฉากเซ็กซ์ในหนังทั้งหลายมักถูกนำเสนออย่างน่าอึดอัดเสียเหลือเกิน และตัวละครที่มีเซ็กซ์มักอยู่คู่กับหนังฆาตกรรม หนังสยองขวัญ หรือตัวละครที่ดูชั่วช้าเสมอๆ สำหรับเขาแล้ว 9 Songs คือหนังที่พูดถึง ‘เซ็กซ์’ ในมุมที่สวยงามและสมจริงอย่างที่ควรจะเป็น

9 Songs Michael Winterbottom

(ซ้ายมือ) ไมเคิล วินเทอร์บอตทอม

“ผมคิดมานานแล้วว่า หนังรักส่วนใหญ่มักพลาดในเรื่องความสัมพันธ์ทางร่างกาย ต่อให้มีฉากร่วมรัก ก็ยังรู้สึกว่านักแสดงกำลังเสแสร้งให้เราดูอยู่” วินเทอร์บอตทอมเล่าถึงแนวคิดในการทำหนังเรื่องนี้ “นวนิยายมักมีฉากเซ็กซ์ที่โจ๋งครึ่มและสมจริง แต่สื่อภาพยนตร์น่ะหัวโบราณมาก ผมก็เลยอยากทำอะไรที่ตรงข้ามกับสิ่งที่เคยมีมา ด้วยการนำเสนอความสัมพันธ์ที่มีแต่เซ็กซ์เท่านั้น และผมต้องการตั้งคำถามด้วยว่า ‘หนังที่มีฉากเซ็กซ์มันผิดตรงไหนเหรอวะ’

9 Songs เป็นหนังที่ยาว 69 นาที (ตัวเลขที่่เซ็กซี่ที่สุด แต่ที่ตลกคือ พระนางในเรื่อง ไม่ได้ร่วมรักกันในท่านี้เลย) เล่าเรื่องความสัมพันธ์ 1 ปีของชายหญิงคู่หนึ่ง หนังไม่ได้ซับซ้อนไปมากกว่า การที่ทั้งคู่ไปดูคอนเสิร์ต 9 ครั้ง แล้วก็กลับมาซั้มกันที่บ้าน แต่เราสามารถอ่านความสัมพันธ์ทั้งคู่ผ่านท่วงท่าการร่วมรักที่มีตั้งแต่ความร้อนแรง (เซ็กซ์ที่ไม่เกี่ยวกับความรัก) อบอุ่น (มีเซ็กซ์เสร็จแล้วก็นั่งกินกาแฟคุยกัน) ตื่นเต้น (มีการลองท่าแปลกๆ ด้วยกัน) และโศกเศร้า (เมื่ออีกฝ่ายไม่อยากมีเซ็กซ์และไม่อยากดูคอนเสิร์ตแล้ว)

9 Songs 01

แม้หนังจะโป๊สะบัดและ (เล่น) จริงจังจน Fifty Shades Of Grey ดูอนุบาลไปเลย แต่ก็น่าเหลือเชื่อที่กองเซ็นเซอร์ประเทศอังกฤษ ให้หนังเรื่องนี้ได้ออกฉายโดยไม่มีการตัดออกเลยแม้แต่ฉากเดียว พร้อมให้เหตุผลว่า ‘ภาพในหนังไม่ได้ทำหน้าที่เร่งเร้่าอารมณืเหมือนหนังโป๊’ (ในหนังมีทั้งการใช้ไวเบรเตอร์ การประกอบโอษฐกาม เซ็กซ์แบบซาโด-มาโซคิส ไปจนถึงการหลั่งแบบสดๆ และสอดใส่กันจริงๆ!!)

ด้วยความแรงของหนังนี้ ทำให้มีวีรกรรมอันน่าจดจำมากมาย ทั้งฉากเซ็กซ์ที่สองนักแสดง ‘เล่นจริงเจ็บจริง’ (แต่ใส่ถุงยางนะจ๊ะ) หรือขนาด ‘เจ้าหนู’ ของพระเอก เคียแรน โอ ไบรอัน (Kieran O’Brien) นี่คนดูอาจนึกว่านางเอกกำลังร่วมรักกับไม้เมตร!! แม้แต่นักแสดงสาวที่ลงทุนมาเล่นหนังเรื่องนี้ ที่ตอนแรกวินเทอร์บอตทอมตั้งใจจะปิดชื่อจริงเป็นความลับไว้ แต่สุดท้ายก็ถูกสื่อมือดีไปคุ้ยมาจนได้ว่าเธอคือ มาร์โก สติลลี (Margo Stilley) ซึ่งคำถามที่ทั้งคู่โดนถามบ่อยที่สุดคือ ‘ตอนที่คุณหลั่งและสอดใส่ มันคือการแสดงหรือความรู้สึกจริงๆ’

9 Songs Margo Stilley and Kieran O Brien

มาร์โก สติลลี และ เคียแรน โอ ไบรอัน สองนักแสดง

 

โดย สติลลี พูดถึงการทำงานในหนังเรื่องนี้ว่า “ฉันขอยืนยันว่ามันคือการทำงานร่วมกัน แน่นอนว่าในเรื่องเรามีอะไรกันจริงๆ แต่ว่าฉันกับเคียแรนเป็นมืออาชีพกันสุดๆ ซึ่งคุณก็รู้ว่าถ้าเราก้าวข้ามล้ำเส้น ความเลวร้ายจะตามมาจนงานพังแน่นอน” โดยสติลลีเสริมต่อว่า “ฉันอยู่ในสังคมที่เอาแต่บอกว่า เซ็กซ์คือสิ่งไม่ดี แต่ดูซิ เราอยู่ในยุคที่คนปากว่าตาขยิบ แม้กระทั่งคนในระดับสูงหรือผู้นำประเทศยังมีชู้ ดังนั้นฉันจึงอยากเล่นเรื่องนี้ นี่คือหนังที่สวยงาม เราไม่ควรต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะเซ็กซ์เป็นเรื่องสนุกและถ้าคุณได้มีเซ็กซ์กับคนที่คุณรัก มันก็น่าจะดีที่สุดไม่ใช่เหรอ”

9 Songs 02

สุดท้ายแล้ว สำหรับคนทั่วไป 9 Songs อาจเป็นแค่หนังโป๊ๆ เรื่องหนึ่่ง ที่ทำเก๋ตัดสลับฉากคนมีอะไรกันกับภาพการแสดงสดดนตรีเท่านั้น แต่สำหรับบางคน – คนที่เคยผ่านการร่วมรักที่งดงาม การร่วมรักที่พ้นจากความใคร่ หรือคนที่เคยใช้ชีวิตหยอกล้อกับคนรักในห้องทั้งวันด้วยสภาพเปลือยเปล่า – 9 Songs คงเป็นหนังแสนเศร้าและถ่ายทอดความรักได้สมจริงที่สุดบนจอหนังภาพยนตร์…ที่แม้แต่คนที่ไม่เคยผ่านเรื่องความรัก ก็สามารถเข้าใจในอารมณ์นี้ได้ไม่ยากเช่นกัน

9 songs – list

“Whatever Happened to My Rock and Roll”, Black Rebel Motorcycle Club
“C’mon, C’mon”, The Von Bondies
“Fallen Angel”, Elbow
“Movin’ on Up”, Primal Scream
“You Were the Last High”, The Dandy Warhols
“Slow Life”, Super Furry Animals
“Jacqueline”, Franz Ferdinand
“Debbie”, Michael Nyman
“Love Burns”, Black Rebel Motorcycle Club

***เรียบเรียงจาก นิตยสาร BIOSCOPE # 41 ฉบับ Sex Issue เดือนเมษายน 2548

The post รื้อหิ้งหนังเก่า : 9 Songs (2004) appeared first on Mthai Movie.

รื้อหิ้งหนังเก่า : Frances Ha (2012) –ชีวิตจริง…แมร่งโหดสัส

$
0
0

Frances Ha (2012) – ชีวิตจริง…แมร่งโหดสัส

Frances_Ha04

รื้อหิ้งหนังเก่าวันนี้ ขอนำย้อนไปถึงหนังที่ไม่เก่ามากนัก แต่ยังไม่มีโอกาสฉายอย่างเป็นทางการในบ้านเรา แต่คอหนังหลายๆ ท่านน่าจะเคยผ่านตาหนังเรื่องนี้จากแหล่งต่างๆ กันมาบ้างแล้ว (ฮา) แต่ในวันที่ 14 มีนาคมนี้ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร จะจัดฉายหนังเรื่องนี้ใน ‘เทศกาลภาพยนตร์คัดสรร’ (Cinema Diverse : Director’s Choice) 

Frances Ha เป็นผลงานกำกับ โนอาห์ บอมบาค (Noah Baumbach) เจ้าของหนังตลกร้ายขมขื่นอย่าง The Squid and the Whale (2005), Margot at the Wedding (2007) หรือ Greenberg (2010) ซึ่งบอมบาคโดดเด่นในการเล่าเรื่องเพื่อสำรวจความสัมพันธ์ของผู้คน ผ่านตัวละครบุคลิคเพี้ยนพิลึกหรือไม่ก็เป็นพวกที่รู้สึกว่าตนเองแปลกแยกจากสังคม ซึ่งใน Frances Ha นี้ก็เช่นกัน

ฟรานเชส (เกรดา เกอร์วิก) สาวที่พึ่งเรียนจบมาหมาด โดยมีวิถีชีวิตที่ไม่พยายามผูกมัดกับใครจริงจัง ไม่ทำงานประจำและร่อนเร่ย้ายหอพักไปเรื่อยๆ ในนิวยอร์ก โดยมีความฝันว่าอยากเป็นนักเต้น ก่อนจะค่อย ๆ ตระหนักรู้ว่า การเบือนหน้าหนีจากความจริงแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจเป็นสิ่งที่เธอทำไม่ได้ทั้งชีวิต

เกอร์วิก ซึ่งเคยร่วมงานกับบอมบาคใน Greenberg มาแล้ว โดยในเรื่องนี้นอกจากนักแสดงนำแล้ว เธอยังรับหน้าที่เขียนบทร่วมกับบอมบาคด้วย บอกถึงแรงบันดาลใจโดยใช้ ‘นิวยอร์ค’ เมืองแห่งความหวังและความฝัน’ ที่ทำให้ฟรานเชส – ซึ่งเกิดและเติบโตในครอบครัวชนชั้นกลางบ้านๆ ทั่วไป – รู้สึกเหมือนกำลัเดินไต่เส้นลวดตลอดเวลา นั่นคือ ถ้าก้าวพลาด ฝันของเธอก็จะดับทันที “คนรอบตัวของฟรานเชสที่มาดิ้นรนจะเป็นศิลปินในนิวยอร์ค จริง แล้วยังใช้เงินของพ่อแม่อยู่ทั้งนั้น ฟรานเชสจึงเพ้อฝันไปว่า ทุกๆ คนต่างก็ต้องดิ้นรนตามฝันเหมือนตัวเธอเช่น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเข้าใจผิดทั้งสิ้น!”

greta-gerwig-in-frances-ha_original

เช่นเดียวกับ บอมบาค ที่โตในบรูคลิน เรียนในไฮสคูลเดียวกับ วูดี อัลเลน (เจ้าพ่อหนังตลกร้ายหน้าตายแห่งนิวยอร์ค) ชอบอ่านบทความตลกของอัลเลน และมี Annie Hall ของอัลเลนเป็นหนังประจำรุ่น ก็ใช้แรงบันดาลใจเหล่านั้นในการถ่ายทอดเมืองนิวยอร์คกับแมนฮัตตันใน Frances Ha เป็นขาวดำอย่างงดงามหวนอดีต เพื่อเล่าเรื่องอันแสนเจ็บปวดระคนขบขันของคนผู้ไร้ทักษะในการอยู่ร่วมกับโลกกว้างโดยเฉพาะ (ซึ่งเป็นมรดกที่ได้จากอัลเลนอย่างชัดเจน) นอกจากนี้ หนังยังมีจุดเด่นตงการสื่อสารด้วยท่วงท่าเคลื่อนไหวอย่างมีเสน่ห์ของเกอร์วิก ซึ่งคล้ายกับที่ แคทเธอรีน เฮปเบิร์น สตาร์ค้างฟ้าเคยทำในหนังแนว screwball comedy (หนังตลกพ่อแง่แม่งอน) รุ่นคลาสสิกอย่าง Bringing Up Baby (1938) และ The Philadephia Story (1940)

บอมบาคเล่าว่า “คุณจะเห็นฟรานเชสเคลื่อนไหวร่างกาย วิ่งเต้น ย้ายที่อยู่ตลอดเวลา โดยที่จิตใจเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย ผมว่าเราหลายคนก็เป็นแบบนี้ เราเคลื่อนที่เสมอ แต่จริง แล้วเราไม่เคยไปไหน …ในแง่หนึ่งหนังพูดถึง ‘ความโรแมนติกของการตัดสินใจยื่นอยู่บนความจริง’ ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้ายสุดทุกคนต้องทำกับชีวิตของตนเอง ไม่มีใครหรอกที่โลกจะหยิบยื่นทุกสิ่งให้ แม้แต่คนที่รวยก็เถอะ ผมจึงรู้สึกว่า การที่ฟรานเชสตัดสินใจทำงานประจำและพบทางที่ของตนเองได้ มันคือความกล้าหาญมาก”

โนอาห์ บอมบาค (Noah Baumbach)  ผู้กำกับ

โนอาห์ บอมบาค (Noah Baumbach) ผู้กำกับ

“ชีวิตฟรานเชสอาจไม่ได้ลงเอยด้วยการแต่งงานกับเจ้าชายในฝัน แต่มันก็เป็นความเปลี่ยนแปลงและเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เพราะหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดของชีวิตคนเราก็คือ การยอมทิ้งความหวังและความฝันที่เรามีต่อตนเองไปเสียบ้าง เพื่อเดินหน้าต่อไปนั่นเอง” บอมบาคกล่าวเสริม

Frances Ha ได้รับการยกย่องว่า ได้มอบสิ่งที่ขาดหายมานานในหนังอเมริกัน คือตัวละครหญิงที่มีชีวิตเลือดเนื้ออันสมจริง ทั้งวัยและสถานะทางสังคม นอกจากฟรานเชสต้องดิ้นรนเรื่องงานแล้ว เธอยังต้องเรียนรู้ความสัมพันธ์ – ที่ไม่ใช่กับเพื่อนชายที่ไหน แต่คือเพื่อนสาวสุดซี้อย่าง โซฟี (มิคกี ซัมเมอร์) ซึ่งเธอเคยเชื่อว่า จะอยู่เคียงข้างประคับประคองไปด้วยกันชั่วนิรันดร์ โดยไม่ทันตระหนักว่า ในไม่ช้า เพื่อนรักที่เติบโตและสนิทกันมา ก็ต้องการมีชีวิตเป็นของตนเองเช่นเดียวกัน

Frances_Ha_4

ในแง่นี้ นักวิจารณ์จึงกล่าวว่า Frances Ha ได้ขยายอนาเขตความหมายของคำว่า ‘หนังโรแมนติกคอมิดี’ ออกไปสู่ปริมณฑลใหม่ โดยย้ายแกนหลักของเรื่องในแนวนี้ที่มักว่าด้วยแฟนตาซีของเพศหญิง อย่างเรื่องการแต่งงานและการไล่ล่าหาความรัก มาสู่การเล่าเรื่องการรักษามิตรภาพอย่างผู้ใหญ่และการค้นหาตัวตนของพวกเธอเอง …ท่ามกลางความสุขและแสนเศร้าบนโลกแห่งความจริง

**เรียบเรียงจาก BIOSCOPE Special Issue – 100 หนังโลกแห่งปี 2013 ที่ ‘ต้องดู’ – Online Only on OOKBEE Store

The post รื้อหิ้งหนังเก่า : Frances Ha (2012) – ชีวิตจริง…แมร่งโหดสัส appeared first on Mthai Movie.

หนังโลกที่เราอยากดู : Ida (2013) –หนังออสการ์ จาก โปแลนด์

$
0
0

Ida (2013) – ปัจเจกและความเป็นชาติ

ida-pawel-pawlikowski-L-VZSZUZ

MV5BMTUwNzIxMjIzNV5BMl5BanBnXkFtZTgwMTUzNTg1NDE@._V1__SX851_SY372_

Pawel Pawlikowski

หลังจากเคยเข้าชิงถึง 10 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 1963 - Ida (อ่านว่า อิดา) ก็สามารถนำธงชาติโปแลนด์ไปปักบนสหรัฐได้สำเร็จ หลังจากคว้า รางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ในงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 87

หนังสัญชาติโปแลนด์เรื่องนี้ (ที่ร่วมทุนสร้างทั้ง โปแลนด์, เดนมาร์ก, ฝรั่งเศส และ สหราชอาณาจักร) เป็นผลงานของ ปาเวล ปาวลีคอฟสกี (Pawel Pawlikowski) ที่เริ่มต้นจากการเป็นนักทำหนังสารคดีในอังกฤษ ก่อนหันมาทำหนังเล่าเรื่องจนเริ่มเป็นที่รู้จักจาก Last Resort (2000) และหนังรักเลสเบี้ยนที่เคยเข้ามาฉายในบ้านเราอย่าง My Summer of Love (2004) ก่อนที่ปาวลีคอฟสกีจะเริ่มกลับมาทำหนังที่บ้านเกิดกับ La femme du Vème (2011) และ Ida

Ida ตั้งคำถามกับคนดูว่า “ชาวยิวล้วนมีประวัติศาสตร์และความทรงจำร่วมต่อความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยนาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองจริงหรือ?” …หรือบางทีชาวอิสราเอลและประชาคมโลกอาจรู้สึกต่อเหตุการณ์นี้มากยิ่งกว่าคนยิวส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ …โดย อิดา (อกาทา เซบูชอฟสกา) คือเด็กหญิงผู้เกิดตอนช่วงเวลาสังหารและเติบโตในคอนแวนต์โปแลนด์แห่งหนึ่งมาตลอดชีวิต เธอไม่มีฝันหรือภาพเกี่ยวกับชีวิตมากกว่าการได้เป็นนักบวชอย่างสมบูรณ์เมื่อถึงวัยอันควรในปีนั้นเอง ซิสเตอร์ใหญ่พบญาติที่ยังมีชีวิตอยู่ของเธอ ซึ่งตามกฎของคอนแวนต์ อิดาต้องออกไปใช้ชีวิตทางโลก และร่วมตัดสินใจกับคนในครอบครัวก่อนเป็นนางชีเต็มตัว

MV5BMTg2ODc5MzI0OV5BMl5BanBnXkFtZTgwOTIxNDI0MTE@._V1__SX851_SY372_

อิดา (อกาทา เซบูชอฟสกา)

แวนดา (อกาทา คูเลสซา) ป้าของเด็กสาว เป็นผู้พิพากษารับใช้ระบอบสตาลิน ความเจ็บปวดภายใต้การปกครองของนาซีและโซเวียตคอมมิวนิสต์บ่มเพาะอยู่ในร่างของเธอกระทั่งสะท้อนออกมาผ่านสีหน้าท่าทาง อิดาเพิ่งรู้คราวนี้เองว่าเธอมีเชื้อสายยิว และเพิ่งตระหนักถึงชะตากรรมอันโหดร้ายที่เกิดขึ้นกับพ่อและแม่ที่เธอไม่เคยรู้จัก แวนดาพาอิดาออกตามหาศพของพ่อแม่จากข้อมูลของครอบครัวที่ลงมือสังหารและยึดบ้านกับที่ดินไปเป็นกรรมสิทธิ์ ระหว่างทางนั้นคือการเรียนรู้ซึ่งกันและกันของหญิงสาวต่างวัยและการเรียนรู้ชีวิตทางโลกของอิดา

MV5BNjEzMzEzMzY2OF5BMl5BanBnXkFtZTgwNjk1OTk4MDE@._V1__SX851_SY372_

แวนดา (อกาทา คูเลสซา)

สิ่งที่โดดเด่นของหนังเรื่องนี้ที่ได้รับคำชมไปอย่างกว้างขวาง คือการถ่ายภาพในสไตล์ขาวดำสัดส่วน 1.37:1 ที่ถูกขับเน้นอย่างสุดพลัง และสร้างโปแลนด์ภายใต้ยุคสตาลินที่เต็มไปด้วยแรงบีบรัดกดทับได้อย่างน่าตื่นตะลึงความงดงามที่สุดของ Ida คือระหว่างที่บาดแผลของครอบครัวกำลังได้รับการเปิดเผยและอาจส่งผลกระทบต่อชีวิตของอิดาผู้ไม่ประสีประสา เรากลับพบว่าเธอไม่มีความรู้สึกร่วมเจ็บปวดทรมาน ไม่รู้สึกผิดที่เป็นผู้เหลือรอด ดั่งแบบที่แวนดาเป็น

MV5BMTU4MTQ3NTAyNF5BMl5BanBnXkFtZTgwNzIxNDI0MTE@._V1__SX851_SY372_

การที่ผู้ชมไม่อาจเข้าใจเธอได้อย่างเต็มที่ ก็เพราะอิดาคือมนุษย์ที่ไร้ความทรงจำร่วมกับคนอื่น ร่างไร้วิญญาณของพ่อแม่และความเจ็บปวดของแวนดา ไม่ได้สำคัญไปกว่าการเรียนรู้เพื่อตัดสินใจขั้นสุดท้ายของอิดา ว่าจะละทิ้งชีวิตทางโลกเพื่อเดินสู่จุดเริ่มต้นที่เธอเติบโตและคุ้นเคย ด้วยการกลับไปเป็นนางชี…หรือไม่

***เรียบเรียงจาก นิตยสาร BIOSCOPE : World Cinema Issue (Online Only At Okkbee)

The post หนังโลกที่เราอยากดู : Ida (2013) – หนังออสการ์ จาก โปแลนด์ appeared first on Mthai Movie.

รื้อหิ้งหนังเก่า : Russian Ark (2002) –ต้นตำรับ ‘หนังซ็อตเดียว’

$
0
0

Russian Ark (2002) – ต้นตำรับ ‘หนังซ็อตเดียว’

810yVqnYdsL._SL1500_

ในรอบปีที่ผ่านมาจนถึงบนเวทีออสการ์ หนังที่สร้างความฮือฮาให้กับเหล่าคอหนังทั่วโลก ด้วยการเล่าเสมือนทั้งเรื่องถ่ายทำด้วยเพียงเทคเดียว (Long Take) แม้สุดท้าย Birdman (2014) จะไม่ได้ถ่ายทำด้วยลองเทคแบบจริงๆ แต่นั่นก็เป็นการแสดงให้เห็นการเลือกใช้วิธีเล่าเรื่องอันชาญฉลาดของ อาเลฆันโดร กอนซาเลซ อีญาร์รีตู ที่เลือกเปรียบเปรยช่วงชีวิตของมนุษย์เรา ที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องไม่ต่างจากภาพยนตร์เช่นกัน

หากแต่ถ้าจะพูดถึงหนังที่ถ่ายทำด้วยกลวิธีแบบลองเทคจริงๆ แล้ว คงต้องกล่าวถึงหนังจากประเทศรัสเซียสุดคลาสสิค ที่มักถูกเอ่ยถึงเสมอในการเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญ ของการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลมาถ่ายทำภาพยนตร์เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของการใช้ฟิล์ม จนกลายมาเป็นหหนังที่ถ่ายทำแบบลองเทคจริงๆ ยาวกว่า 96 นาที เรื่องนี้

imgres

Russian Ark หนังที่สร้างขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองวาระครบ 300 ปีของเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก อันเป็นเมืองสำคัญางวัฒนธรรมของรัฐเซีย โดยผู้กำกับ อเล็กซานเดอร์ โซกูรอฟ (Alexander Sokurov)  ได้นำนักแสดงและทีมงานกว่าพันชีวิต!! เข้าไปถ่ายทำใน พิพิธภัณฑ์เฮียร์มิทาจ ที่เซ็ตอัพทั้ง 33 ห้องให้กลายเป็นพระราชวังฤดูหนาว เพื่อเล่าเรื่องผ่านสายตาของภูติผี ที่เสมือนพาเราไปสำรวจวังแห่งนี้ที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายและผลงานศิลปะอันตระการตา เพื่อสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมรัสเซียแต่ละยุคสมัยตลอดกว่า 300 ปี

Alexander-Sokurov-001

Alexander Sokurov

โดยโซกูรอฟพูดถึงแนวคิดของการทำหนังเรื่องนี้ว่า “รัสเซีย เป็นทั้งที่ดำรงชีวิตและสร้างผลงานของอย่าง ดอสโตเยฟสกี้, รัคมานินอฟ, ไซคอฟสกี้, ตอลสตอย, เซคอฟ…ผมสามารถบอกชื่อคนผู้เป็นสุดยอดของประเทศนี้ได้อีกเพียบ และผม -ในฐานะตัวแทนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมอันแสนเยาว์วัย อย่างภาพยนตร์ ซึ่งพึ่งมีอายุอานามแค่เพียง 100 ปีเศษ- จึงต้งเปรียบเทียบสิ่งที่ผมทำกับศิลปะทั้งหลายที่เคยถูกสร้างไว้อย่างยิ่งใหญ่ในรัสเซีย …สำหรับผม รัสเซียจึงเป็นดินแดนทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ ที่มีทั้งอดีตอันน่าทึ่ง และอนาคตอันกว้างไกล”

RUSARK18_rgb

ซึ่งเหตุผลที่เขาเลือก พิพิธภัณฑ์เฮียร์มิทาจ เป็นสถานที่ถ่ายทำ นั่นเพราะชีวิตส่วนหนึ่งของโซกูรอฟ ล้วนเป็นบุญคุณสถานที่แห่งนี้ โดยเฉพาะการบ่มเพาะภูมิปัญญาทางศิลปะ ที่ส่งผลต่อผลงานหนังของเขาในปัจจุบันนั่นเอง “ที่นี่ เป็นที่ที่คุณจะได้ยืนประจันหน้ากับศิลปะจิตรกรรมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ และมีมากพอที่คุณต้องใช้เวลาดูกว่าสามปีจึงจะครบ!! แน่นอนว่าในฐานะคนทำหนังแล้ว เรามิอาจเพิกเฉยต่อวัฒนธรรมโลกได้…เพราะว่าหนังก็คือศิลปะอีกแขนงหนึ่ง ซึ่งงานศิลปะทุกชนิดต่างมีชีวิตเป็นของมันเองคนดูบางคนอาจรู้สึกว่า เวลาดู Russian Ark คงต้องพยามยามทำความเข้าใจกับมันมากหน่อย แต่สิ่งที่ผมจะแนะนำคุณก็คือ แค่เพียงลองเปิดใจให้กว้าง คุณก็จะเข้าใจทุกๆ อย่างได้เอง”

แม้หนังเรื่องนี้จะสร้างนวัตกรรมใหม่ในการถ่ายทำ (ด้วยการใช้กล้องดิจิตอลความละเอียดสูง ที่พ่วงทั้งฮาร์ดดิสที่เพียงพอสำหรับบันทึกไฟล์ดิบกว่า 100 นาที พร้อมแบตเตอรี่ความจุมากเป็นพิเศษเพื่อรองรับการใช้งานยาวนานติดต่อกัน) ที่ยังไม่รวมไปถึงการซักซ้อมคิวถ่ายทำอีกไม่รู้กี่เดือนเพื่อให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด แต่กระนั้นเป้าหมายที่แท้จริงของโซกูรอฟ กลับไม่ใช่ความสำเร็จทางด้านเทคโนโลยีใดๆ หากแต่เป็นเจตนารมณ์ในการส่งต่อไอเดียทางศิลปะ…จากรุ่นสู่รุ่นต่อไป

ขณะโซกูรอฟ (ขวามือสุด) กำลังดูการถ่ายทำผ่านมอนิเตอร์

ขณะโซกูรอฟ (ขวามือสุด) กำลังดูการถ่ายทำผ่านมอนิเตอร์

“ถึงผมจะทำหนัง Russian Ark แบบไม่มีการตัดต่อเลย แต่สิ่งที่ผมต้องการคือ หลังจากผู้ชมดูหนังไปราว 5-10 นาที พวกเขาต้องลืมไปเลยว่าหนังเรื่องนี้ถ่ายทำด้วยเพียงซ็อตเดียว พวกเขาจะติดตามเรื่องราวในหนังต่อไปด้วยความเพลิดเพลิน และกลับมานึกถึงความสำเร็จของการถ่ายทำด้วยเทคนิคนี้…ก็ต่อเมื่อหนังได้จบลงและจอเบื้องหน้าได้กลายเป็นสีดำไปแล้วนั่นเอง”

**เรียบเรียงจากคอลัมน์ Portrait ในนิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 25 (ธันวาคม 2546)

The post รื้อหิ้งหนังเก่า : Russian Ark (2002) – ต้นตำรับ ‘หนังซ็อตเดียว’ appeared first on Mthai Movie.

หนังโลกที่เราอยากดู : Citizenfour (2014)

$
0
0

 Citizenfour (2014) – จากปากคำ ของคนที่(สห)รัฐ ตามล่า!!

citizenfour-poster

p0299p6h

Edward Snowden

หนังร่วมทุนเยอรมันและอเมริกา เจ้าของรางวัลออสการ์ปีล่าสุด ในสาขาภาพยนตร์สารคดี ของผู้กำกับ  ลอรา พอยทราส (Laura Poitras) นักทำสารคดีหญิงแกร่งชาวอเมริกันที่ปัจจุบันอาศัยอยูในเบอร์ลิน ซึ่งสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นที่สนใจมากเป็นพิเศษ คงเพราะนี่คือการบันทึกบทสนทนาของคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “อาชญากรของชาติ” ทั้งๆ ที่ตัวเขาออกมาเปิดโปงสิ่งที่รัฐปิดบังคนทั้งประเทศ (และทั้งโลก) อย่างกล้าหาญ แม้จะรู้ว่าอาจต้องแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตก็ตาม

เอ็ดเวิร์ด โจเซฟ สโนว์เดน (Edward Snowden) อดีตลูกจ้างสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NSA) ที่กลายมาเป็นหนึ่งในบุคคลผู้สร้างประเด็นถกเถียงอื้อฉาวที่สุดในรอบปี เมื่อสโนว์เดนออกมาสั่นสะเทือนโลก ด้วยการเปิดโปงโครงการการสอดส่องดูแลมวลชนลับสุดยอดของรัฐบาลสหรัฐฯ และอังกฤษ จนถูกติดตามจับกุมและต้องตกอยู่ในสถานะผู้ร้ายข้ามแดนจนถึงตอนนี้

ภาพสำนักงานใหญ่ของ National Security Agency

ภาพสำนักงานใหญ่ของ National Security Agency

 

ที่มาของหนังสารคดีเรื่องนี้ เกิดขึ้นหลังจากสโนว์เดนหนีออกจากประเทศไปยังฮ่องกง เขาก็ตัดสินใจส่งอีเมลด้วยนามแฝง ‘citizen four’ ติดต่อบุคคลสองคนให้เดินทางไปบันทึกการเปิดเผยอันสุดแสนจะเอ็กซ์คลูซีฟของเขาต่อรายละเอียดด้านลึกของโครงการดังกล่าว คนแรกคือ เกลนน์ กรีนวอลด์ (นักข่าวหนังสือพิมพ์การ์เดียนของอังกฤษ) ส่วนอีกคนคือ พอยทราส ผู้กำกับหญิง (ซึ่งสโนว์เดนติดใจฝีมือการทำหนังสารคดีสั้นเรื่อง The Program ของเธอ ที่เล่าถึง วิลเลียม บินนีย์ อีกหนึ่งอดีตลูกจ้าง NSA ผู้มีส่วนร่วมในการออกแบบโปรแกรมลับสุดยอดเพื่อเก็บข้อมูลส่วนตัวของประชาชน)

MV5BODM3NDU5MDkxNV5BMl5BanBnXkFtZTgwMjQ0ODM5MjE@._V1__SX1046_SY537_

สโนว์เดน กับเกลนน์ กรีนวอลด์ – นักข่าวหนังสือพิมพ์การ์เดียน

MV5BMTU4ODYyNDMzNF5BMl5BanBnXkFtZTgwODM0ODM5MjE@._V1__SX1046_SY537_

Laura Poitras

ความเก๋าของพอยทราสอยู่ตรงที่เธอมิได้ปล่อยให้หนังออกมาเป็นเพียงงานเสนอข่าวสารข้อมูลหรือสัมภาษณ์บุคคลอย่างแห้งแล้ง ตรงกันข้าม ตัวสโนว์เดนนั้นเต็มไปด้วยมิติหลากหลาย ทั้งขี้อาย หวาดระแวงและเสียสละ ขณะที่ตัวหนังก็เป็นดังธริลเลอร์ชั้นดีด้วยองค์ประกอบต่างๆ ของหนังซึ่งล้วนถูกใช้เพื่อเขย่าความรู้สึกของคนดูอย่างเต็มที่

ไม่ว่าจะมองจากมุมคนที่โปรหรือต่อต้านรัฐบาลอเมริกัน จากมุมของคนทำงานด้านสังคมการเมืองหรือคนดูหนัง สารคดีเรื่องนี้ก็สมควรได้รับการประทับตราว่า “ห้ามพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง”

 ***เรียบเรียงจาก นิตยสาร BIOSCOPE : World Cinema Issue – 100+ หนังโลกปี 2014 ที่ ‘ต้องดู’ (Online Only At Okkbee and MbookStore.com)

The post หนังโลกที่เราอยากดู : Citizenfour (2014) appeared first on Mthai Movie.

หนังโลกที่เราอยากดู : Pride (2014) –จงภูมิใจ ที่เป็น ‘เรา’

$
0
0

Pride (2014) – จงภูมิใจ ที่เป็น ‘เรา’

Pride Poster

หนังสัญชาติอังกฤษ/ฝรั่งเศสเรื่องดัง เจ้าของรางวัล Queer Palm (หนังเควียร์ยอดเยี่ยม) จากเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเมืองคานส์ ฝรั่งเศส ในปี 2014 โดยเป็นเรื่องที่ดัดแปลงจากเรื่องจริง ว่าด้วยการรวมตัวประท้วงรัฐบาลอังกฤษในปี 1984 ของคนงานเหมือง แต่ปรากฏว่ากลุ่มคนที่สนับสนุนและให้บริจาคเงินแก่พวกเขามากที่สุด คือ กลุ่มเกย์และเลสเบียนที่รวมตัวกันในนาม LGSM (Lesbians and Gays Support the Miners) ในยุคที่สังคมยังเชิดชูการเกลียดกลัวรักร่วมเพศอยู่เลย!Pride 01

สตีเฟน เบเรสฟอร์ด (Stephen Beresford) ได้ยินเรื่องนี้มากว่ายี่สิบปี แต่ก็เพิ่งไม่นานมานี้เท่านั้นที่เขาแน่ใจว่าเรื่องเหลือเชื่อนี้เคยเกิดขึ้นจริง “มันเป็นตำนานของชุมชนเกย์ที่เล่ากันมาแบบปากเปล่า ผมเชื่อแต่ไม่เคยมั่นใจ มีเพียงความคิดที่ว่า เฮ้ย ถ้าเรื่องนี้จริง ผมจะเขียนถึง”

Matthew and Warchus

จากซ้ายมือ – สตีเฟน เบเรสฟอร์ด (เขียนบท) และ แม็ตธิว วอร์ชัส (ผู้กำกับ)

เรื่องเล่าดังกล่าวชนะใจโปรดิวเซอร์ตั้งแต่เบเรสฟอร์ดยังเล่าไม่ทันจบ มือเขียนบทละครเวทีเปี่ยมประสบการณ์จึงได้มีเครดิตเขียนบทหนังเป็นเรื่องแรกในชีวิต สามปีหลังจากนั้นหนังเสร็จสมบูรณ์ภายใต้การกำกับของ แม็ตธิว วอร์ชัส (Matthew Warchus ผู้กำกับสายละครเวที ที่โด่งดังจากเธียร์เตอร์มิวสิคัลชื่อดัง Matilda) โดยเป็นหนังโรแมนติกคอมิดีที่มีส่วนประกอบคือ การชุมนุมประท้วง, แอ็กติวิสต์รักเพศเดียวกัน, บิลล์ ไนก์, อิเมลดา สแตนตัน, โดมินิก เวสต์ และ มาร์กาเร็ต แธตเชอร์! กวาดเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์ไปทั่วยุโรป และเพิ่งลงโรงฉายที่อังกฤษไปเมื่อไม่นานมานี้ด้วยตัวเลขรายรับที่ถือว่าน่าพอใจ

ความโดดเด่นของ Pride ไม่ใช่แค่ตรงที่เล่าเรื่องฟีลกู๊ดได้จับใจซาบซึ้งน้ำตาร่วงภายใต้เสียงหัวเราะเท่านั้น ภายใต้รูปลักษณ์ที่แลดูเบาสมอง ประเด็นทางการเมืองหลากมิติที่แทรกอยู่ในเรื่องราวกลับถูกเล่าได้ลึกซึ้ง (การระบาดของโรคเอดส์ในช่วงเวลาดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในหนังด้วยเช่นกัน) ส่วนหนึ่งต้องยกเครดิตให้เบเรสฟอร์ดที่เสาะหาแหล่งอ้างอิงถึงเหตุการณ์และผู้คนที่เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงนั้นอย่างไม่ลดละ แม้ตัวตนของพวกเขาในโลกอินเทอร์เน็ตแทบเป็นศูนย์ กระทั่งไปพบกับสารคดีที่อำนวยการสร้างโดย LGSM ที่กลายเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญของหนังไปโดยปริยาย รวมถึงเป็นต้นแบบของคาแร็กเตอร์เปี่ยมเสน่ห์ทั้งมวลที่ปรากฏอยู่ในเรื่องเลยทีเดียว (โชคเป็นของเบเรสฟอร์ด เมื่อบุคคลเดียวที่ขึ้นชื่อในเครดิตของสารคดีสมัครเล่นเรื่องนี้มีตัวตนอยู่ในเฟซบุ๊ค และเคยใช้ชีวิตอยู่ในการประท้วงหยุดงานที่ยาวนานครั้งนั้น) ใช่ว่าเหตุการณ์นี้จะไม่เคยถูกบันทึกไว้ ทุกอย่างเขียนไว้ในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ประชาชนที่แมนเชสเตอร์ “แต่ไม่ค่อยมีคนรู้หรอกว่าเขาบันทึกเรื่องนี้ไว้ที่นั่น” ไมค์ เจสัน หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มเล่า “หลังการประท้วงจบลง ผมรู้สึกเศร้าบอกไม่ถูกที่หากผมตายเมื่อไหร่ เรื่องนี้ก็จะหายไปจากการรับรู้ของคนทั่วไป”

ความงดงามอีกข้อที่หนังเล่าให้ผู้ชมฟังด้วยเสียงอันภาคภูมิใจก็คือไม่ใช่แค่กลุ่มแอ็กติวิสต์รักเพศเดียวกันที่เหมารถบัสไปร่วมประท้วงกับคนงานเหมือง คนงานเหล่านี้ที่บ้างก็มาจากเวลส์ก็เหมารถเข้าลอนดอนเพื่อเข้าร่วมขบวนพาเหรดเกย์ไพรด์ด้วยความรู้สึกเป็นหนึ่งใจเดียวกัน

“นี่คือภาพประกายของความหวังว่ามนุษย์จะอยู่ร่วมกันได้ คือเสี้ยวของแสงแห่งการปฏิวัติที่น่าปิติยินดี หนังจับความงามนี้ไว้ได้อย่างหมดจดจริงๆ” เบเรสฟอร์ดกล่าว

Pride 02

ธีมสำคัญของหนังก็ไม่ต่างจากที่ มาร์ค แอชตัน หนุ่มไอริชผู้ก่อตั้ง LGSM ที่เสียชีวิตไปเมื่อปี 1987 เคยกล่าวไว้ “แต่ละประชาคมที่เข้มแข็งควรมอบความเป็นปึกแผ่นให้แก่กลุ่มคนอื่นๆ เพราะคงตรรกะวิบัติสิ้นดีหากเราจะพูดว่า ‘ฉันเป็นเกย์ ฉันมีหน้าที่ปกป้องกลุ่มคนที่สนใจเรื่องรักร่วมเพศ แต่ไม่สนใจห่าอะไรอื่นเลยสักนิด’”

 เรียบเรียงจาก BIOSCOPE World Cinema Issue : 100+ หนังโลก 2014 ที่เรา ‘ต้องดู’ (Online Only)

The post หนังโลกที่เราอยากดู : Pride (2014) – จงภูมิใจ ที่เป็น ‘เรา’ appeared first on Mthai Movie.

หนังโลกที่เราอยากดู : The Look of Silence –ความจริง ที่ถูกฝั่งลืม

$
0
0

The Look of Silence (2014) – ความจริง ที่ถูกฝั่งลืมThe Look of Silence - poster

Joshua Oppenheimer

Joshua Oppenheimer

ย้อนไปปี 2012 โจชัว ออพเพนไฮเมอร์ (Joshua Oppenheimer) ร่วมกับ คริสตีน ไซนน์ (Christine Cynn) ส่ง The Act of Killing  หนังสารคดีที่สะท้านโลกภาพยนตร์และสะเทือนอินโดนีเซียอย่างแรงออกฉาย ด้วยประเด็นหนักหน่วง (การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กลุ่มคอมมิวนิสต์ในช่วงปี 1965-1966 ที่กล่าวกันว่าอาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 2 ล้านคน – สามารถอ่านเกร็ดประวัติศาสตร์ในช่วงนั้นได้ที่ thaipublica.org )

โดย The Act of Killing เป็นการเล่าเรื่องผ่านตัวอดีตมือสังหาร ด้วยวิธีการนำเสนอในแบบหนังซ้อนหนัง (ที่พวกเขาแสดงวิธีฆ่าให้เห็นต่อหน้ากล้องโดยไร้ความรู้สึกผิด) ไปจนถึงท้าทายด้วยการตั้งคำถามด้านจริยธรรมในการผลิตสารคดี (ด้วยกลวิธีการจงใจปกปิดรายละเอียดบางอย่างเพื่อผลด้านอารมณ์ หรือการหลอกมือสังหารเพื่อผลด้านภาพและประเด็น) แน่นอนว่าสารคดีเรื่องนี้ไม่ได้ฉายในประเทศอินโดนีเซียแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดจากหลายสำนัก ไปจนถึงเข้าชิงออสการ์ สาขาภาพยนตร์สารคดีในปี 2014 อีกด้วย

ล่าสุด โจชัวก็กลับมาพร้อมสารคดีที่เปรียบเสมือนภาคต่อของเรื่องก่อนอย่าง The Look of Silence ที่โจชัวเปลี่ยนวิธีการเล่าที่พอจะคาดเดาได้มากกว่า ทว่ามันยังคงทรงพลังรุนแรงอยู่เช่นเดิม ด้วยคราวนี้หนังติดตาม อาดี รุคุน หนึ่งในผู้สูญเสียที่เกิดหลังพี่ชายของเขาถูกฆ่าไม่กี่วัน  ปัจจุบันอาดีเป็นจักษุแพทย์วัยต้น 40 เขาไม่มีความทรงจำร่วมถึงโศกนาฏกรรม แต่ได้รับแรงกระตุ้นให้ค้นคว้าและตามหาความจริง หลังจากแม่ยอมเอ่ยปากเล่าเรื่องการตายของพี่ชายและความหวาดกลัวที่ยังตกค้างถึงปัจจุบัน ก่อนจะได้เห็นเทปบันทึกชั้นเรียนของลูกชายที่เต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อเชิดชูการสังหาร เขาทำทีว่ามาช่วยตรวจวัดสายตาตามบ้าน เพื่อเผชิญหน้ากับคนไข้ที่เลือกสรรมาแล้ว.. นั้นคือ เหล่ามือสังหารจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ที่ก็อาศัยอยู่ละแวกบ้านเดียวกันนั่นเอง

The Look of Silence 02

แน่นอนว่าคำถามที่อาดีถามส่วนใหญ่ไม่ได้รับคำตอ เหล่ามือสังหารบ่ายเบี่ยงเลี่ยงที่จะพูดถึงเหตุการณ์เหล่านั้น แต่เมื่อมีคำตอบชัดเจน หนังก็ชวนให้ผู้ชมช็อคกับใบหน้าแห่งความภาคภูมิใจของ อันวาร์ คองโก – หนึ่งในมือสังหาร ที่เปิดเผยรายละเอียดในการลงมือ การเลือกเหยื่อ ไปจนถึงความเชื่อทางไสยศาสตร์ว่าหากดื่มเลือดของคนตายแล้วพวกเขาจะไม่เสียสติ – นอกจากความภาคภูมิในวีรกรรมอันป่าเถื่อนแล้ว หนังเรื่องนี้ยังได้เผยให้เห็นรอยปริแตกที่เหล่านักฆ่าพยายามปกปิดมาช้านาน

The Look of Silence เปรียบเปรยได้ดั่ง ‘ความเงียบงัน’ ที่อาดีและคนดูจับจ้องผ่านสารคดีเรื่องนี้ มันคือประวัติศาสตร์ที่ถูกทำให้ลืม เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นและถูกกลบฝังบิดเบือน ทั้งด้วยโฆษณาชวนเชื่ออันเข้มแข็งเป็นระบบหรือความกลัวที่ประทับแน่นอยู่ในความทรงจำของผู้เคยตกเป็นเหยื่อสังหาร เฉกเช่นที่ปรากฏชัดผ่านแม่ของอาดี หญิงชราอายุเกือบร้อยปีที่ยังไม่อาจลบความเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นไปจากความทรงจำได้ ราวกับเธอถูกสาปให้ใช้ชีวิตอยู่กับมันเนิ่นนานชั่วกัลป์

The Look of Silence 01

อาดี รุคุน (ซ้ายมือหันหลัง) ขณะกำลังเผชิญหน้ากับอดีตสมาชิกกลุ่มสังหารหมู่ในอดีต

อย่างไรก็ดี The Look of Silence ก็ยังทำให้ออพเพนไฮเมอร์ ถูกตั้งคำถามในเชิงจริยธรรม เพราะตัวเขาในฐานะผู้กำกับก็ยอมรับเองว่า เขาจงใจมีส่วนที่ ‘พลัก’ ให้อาดีเผชิญหน้ากับหัวหน้าหน่วยสังหารผู้เป็นตัวละครสำคัญในหนัง ในช่วงเวลาที่ทั้งอาดีและแม่ตัดสินใจว่า ‘พอแล้ว’ กับการเคาะประตูบ้านเหล่าฆาตกรนี้เพื่อหาความจริง รวมไปถึงการสื่อสารผ่านสัญญะที่ชัดเจนทั้งการวัดสายตาให้มือสังหาร ไปจนถึงการให้อาดีนั่งดูฟุตเตจเกี่ยวกับการสังหารหมู่ หรือบางส่วนจากสารคดี The Act of Killing ในความเงียบงัน – จนทำให้คนดูต้องก่ำกึ่งสงสัยอีกครั้ง ว่าตนเองรู้สึกสะเทือนใจไปกับเรื่องจริงอันชวนช็อก หรือเป็นเพราะมันคือกลวิธีในการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์ของออพเพนไฮเมอร์กันแน่

The Look of Silence  เป็นหนึ่งในสารคดีที่จัดฉายในเทศกาลภาพยนตร์สารคดีนานาชาติศาลายาครั้งที่ 5 (Salaya Doc) ซึ่งจัดโดย หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) ซึ่งคัดเลือกหนังสารคดีชั้นเยี่ยมมาให้เข้าชมฟรี ตั้งแต่ 21-28 มีนาคมนี้ ณ โรงภาพยนตร์ศรีศาลายา หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร โดยผู้สนใจสามารถเช็ครอบฉายและสำรองที่นั่งได้ ที่นี่

**เรียบเรียงจาก  : World Cinema Issue – 100+ หนังโลกปี 2014 ที่เรา ต้องดู
Exclusive Online in mbookstore.com

The post หนังโลกที่เราอยากดู : The Look of Silence – ความจริง ที่ถูกฝั่งลืม appeared first on Mthai Movie.


รื้อหิ้งหนังเก่า : The Notorious Bettie Page (2005) –ชีวประวัติ..สาวแส้ !?

$
0
0

The Notorious Bettie Page (2005) – ชีวประวัติ..สาวแส้ !?

The Notorious Bettie Page - poster

 

เบ็ตตี้ เพจ คือใคร !?

…นางแบบสาวหัวก้าวหน้าชาวอเมริกันแห่งยุค 50 ผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นเจ้าแบบพินอัพส์ (Queen of Pinups) หรือโปสเตอร์ขนาดเล็กที่แนบมากับนิตยสารหรือหนังสือพิมพ์ (ซึ่งด้วยสไตล์การแต่งกายแบบยุค 50′ และท่วงท่าลีลาอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้คำว่า Pinups กลายเป็นชื่อเฉพาะที่เรียกลักษณะการแต่งกายและถ่ายภาพแบบนี้ไปโดยปริยาย)

ตัวอย่างของ Pin-up ในสมัยยุค 1950

ตัวอย่างของ Pinups ในสมัยยุค 1950

รูปจริงของ Pitty Page

รูปจริงของ Pitty Page

หากอีกมุมในความอื้อฉาว ของ พิตตี้ เพจ คือเธอชอบถ่ายภาพในลักษณะ บอนเดจ (Bondage) หรือการใส่ชุดหนัง/ชุดกึ่งนู้ด ถือแส้ ทั้งทำร้ายคนอื่น ถูกทำร้าย (S/M) ไปจนถึงทำท่านางแมวยั่วสวาท – ซึ่งจะว่าไปแล้วอาจไม่ใช่ของประหลาดในยุคสมัยนี้ แต่ถ้าหากเป็นเมื่อตอนนั้นแล้ว เบ็ตตี้ เพจ คือผู้บุกเบิกการถ่ายภาพแบบนี้ตัวจริงเสียงจริง !!

ตัวอย่างภาพถ่ายแนว  Bondage ของ Bettie Page

ตัวอย่างภาพถ่ายแนว Bondage ของ Bettie Page

ด้วยภาพลักษณ์สุดแรงแบบนี้ หลายคนคิดว่าเธอคงเป็นแค่นางแบบหนังโป๊เกรดต่ำ แต่ใครจะรู้ว่า เบื้องลึกเบื้องหลังชีวิตจริงของเพจ จริงๆ แล้ว เธอเป็นสาวอารมณ์ดีผู้เคร่งศาสนาต่างหาก!! – นั้นจึงเป็นที่มาของ The Notorious Bettie Page หนังในปี 2005 ของผู้กำกับ แมรี่ ฮาร์รอน (Mary Harron) ที่เธอเองก็เป็นผู้กำกับหญิงที่เคยทำงานแรงๆ อย่าง American Psycho (2000-หนังว่าฆาตกรต่อเนื่อง ที่ปะเรต NC-17 ตอนออกฉาย หนึ่งในหนังที่เราจำ คริสเตียน เบล ได้ก่อนจะมาโด่งดังภายหลังกับแบ็ตแมน) หรือ I Shot Andy Warhol (1996-หนังหญิงรักหญิงชั้นดี ว่าด้วยชีวประวัติ วาเลอรี โซลานาส สาวเลสเบี้ยนบ้าคลั่ง ผู้บุกยิงศิลปินแนวป็อบอาร์ตชื่อก้องโลกอย่าง แอนดี้ วอร์ฮอล จนเกือบเสียชีวิต) แม้พักหลังจะเน้นไปทางการกำกับซีรีส์ทางโทรทัศน์ แต่ความแรงของเธอก็ยังคงเดิม เช่นซีรีส์ชีวิตเลสเบี้ยนอย่าง The L Word (2004-2009) เป็นต้น

Mary Harron

Mary Harron

The Notorious Bettie Page เล่าเรื่องชีวิตของเพจ หลังผ่านการหย่าร้างและหมดหนทางเข้าสู่วงการบันเทิง ในที่สุดเพจจึงหันหน้าเข้าสู่วงการนางแบบโฆษณา ก่อนจะถูกช่างภาพชักจูงให้ลองถ่ายภาพแบบแปลกๆ ดูบ้าง ด้วยนิสัยรวยอารมณ์ขันของเพจ เธอจึงภาพเหล่านี้เป็นเรื่องขบขันสนุกสนาน แต่แน่นอนว่าคนอื่นๆ ย่อมไม่เห็นด้วย และแม้แต่สังคมก็ด่วนตัดสิน ก่อนที่ตะได้รู้จักตัวตนจริงๆ ของเธอไปเสียแล้ว

ภาพจากหนัง The Notorious Bettie Page (2005)

ภาพจากหนัง The Notorious Bettie Page (2005)

หนังได้ เกรตเซ่น โมล (Gretchen Mol-นักแสดงที่อาจไม่โด่งดังมากนัก โดยงานที่คนน่าจะคุ้นเธอมากที่สุดในปัจจุบัน คือบท กีเลียน ดาร์โมนี ในซีรีส์ Boardwalk Empire [2010–2014]) ที่ฝากผลงานการแสดงที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอเองไว้ โดยฮาร์รอนเล่าว่า มีเพียงโมลคนเดียวเท่านั้นที่มาคัดเลือกในบทนี้ และไม่ตีความว่าเพจคือสาวเซ็กซี่สุดฮ็อต ทว่าเป็นคนน่ารักสดใสจนดูเป็นดาราหนังรอม-คอมมากกว่าดาวโป๊!! ซึ่งสิ่งที่โมลสร้างให้กับตัวละครของเพจจึงสำคัญยิ่งกว่าความเซ็กซี่…แต่มันคือความฉลาด ไหวพริบ ความสนุกสนานและพลังชีวิตต่างหาก

Gretchen Mol ในบท เบ็ตตี้ เพจ

Gretchen Mol ในบท เบ็ตตี้ เพจ

ขอแตกต่างของ The Notorious Bettie Page กับหนังชีวประวัติส่วนใหญ่ อยู่ตรงที่ฮาร์รอนไม่เข้าไปเติมแต่งเรื่องราวหรือสร้างองค์ประกอบเร้าอารมณ์ในเชิงดราม่ามากนัก แต่เพียงนำเสนอกว้างๆ และไม่ตัดสินเพจว่า จริงๆ แล้วหญิงสาวปริศนา ผู้กลายเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมป็อบยุค 50 ผู้นี้ เป็นคนอย่างไรกันแน่

เรียบเรียงจาก นิตยสาร BIOSCOPE #53 (เมษายน 2549)

The post รื้อหิ้งหนังเก่า : The Notorious Bettie Page (2005) – ชีวประวัติ..สาวแส้ !? appeared first on Mthai Movie.

หนังโลกที่เราอยากดู : Nobody Wants the Night (2015) –ตามผัวที่ขั้วโลกเหนือ !!

$
0
0

Nobody Wants the Night (2015) – ตามผัวที่ขั้วโลกเหนือ !!

Nobody Wants -poster

ชื่อของผู้กำกับหญิงเชื้อสายคาตาลัน วัย 54 อย่าง อิซาเบล กูเช็ต (Isabel Coixet) แม้คอหนังหลายคนอาจไม่คุ้นเคย แต่หากเอ่ยชื่อหนังสารพันแนวที่เธอเคยกำกับมา ทั้ง My Life Without Me (2003 – หนังดราม่าสุดประทับใจ ว่าด้วยหญิงสาววัย 23 ที่รู้ตัวว่ากำลังจะตายไม่ช้า เธอจึงลิสต์สิ่งที่อยากทำเพื่อตัวเองและครอบครัวที่เธอรักก่อนลาจากโลกนี้), The Secret Life of Words (2005 – ความสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลสาวต่างด้าว กับพนักงานขุดเจาะน้ำมัน) เป็นต้น ซึ่งเธอมีผลงานหลากหลายแนวหนัง และถ่ายทำในหลากประเทศ จนกล่าวได้ว่า กูเซ็ตเป็น ‘ผู้กำกับหญิงที่ไม่อาจจัดประเภทได้’ และไม่ได้นำเชื้อชาติที่มาของตนมาจำกัดในตัวเองในการทำหนังเลย

…หลังว่างเว้นงานหนังยาวไปพักใหญ่ กูเซ็ตกลับมาถ่ายหนังทีเดียวสามเรื่องรวด ซึ่งต่างแนวกันอย่างสิ้นเชิง (สองเรื่องที่ฉายไปแล้วคือหนังธริลเลอร์ Another Me [2013] และหนังรอม-คอมโลกสวยวัยดึก Learning to Drive [2014]) โดยเฉพาะ Nobody Wants the Night แล้ว นี่เป็นโปรเจ็กต์ที่บ้าพลังจนไม่น่าเชื่อว่า จะมีใครทำหนังเรื่องนี้หลังจากที่ทำหนังติดๆ กันมาแล้วถึงสองเรื่องได้

Nobody Wants the Night 05

 

กูเซ็ตถ่าย Nobody Wants the Night ในขั้วโลกเหนือเป็นครั้งแรก ในเมืองห่างไกลของนอร์เวย์ ที่เข้าถึงได้ด้วยรถไฟเท่านั้น (อันเคยเป็นฉากของดาวน้ำแข็งใน Star Wars) ซึ่งกองถ่ายต้องขับรถลุยพายุหิมะไปถ่ายทุกสองสัปดาห์ ทั้งยังต้องควบคุมสุนัขกว่า 80 ชีวิต! – จนคณะกรรมาธิการภาพยนตร์นอร์เวย์ถึงกับระบุว่านี่คืองานใหญ่และท้าทายที่สุดในรอบหลายปีที่พวกเขาได้มีส่วนร่วม

หนังได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของนักสำรวจขั้วโลกเหนือ โรเบิร์ต เพียรี แต่เลือกโฟกัสที่ชีวิตของผู้หญิงสองคนที่เกี่ยวข้องกับเขา และได้มาพบกันที่เกาะกรีนแลนด์ในปี 1909 หลังจากเขาหายตัวไปในการสำรวจครั้งสำคัญ – คนแรกคือ โจเซฟีน ผู้เป็นภรรยา (จูเลียตต์ บิโนช) ที่ชีวิตขับเคลื่อนด้วยความรักที่ผลักให้เธอเข้ามาเสี่ยงอันตรายกับสามีที่รักน้ำแข็งมากกว่าบ้านชนชั้นสูง (ในชีวิตจริง เธอลาออกจากงานสำคัญที่สมิธโซเนียนเพื่อมาแต่งงานกับเขา) อีกคนคือ อัลลาคา หญิงชาวอินูอิต (รินโกะ คิคุชิ นักแสดงชาวญี่ปุ่นที่หลายคนคุ้นหน้าจาก Babel) ที่กำลังตั้งท้องลูกของเพียรี

Nobody Wants 02

ทั้งคู่รอคอยชายคนรักคนเดียวกันด้วยเหตุผลที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง และการพบกันระหว่างการรอคอยอันยาวนานสิ้นหวัง จะเปลี่ยนมุมมองต่อโลกของพวกเธอราวกับพลิกขั้วโลก “สำหรับฉันนี่คือหนังผจญภัยควบรวมกับมหากาพย์ย้อนยุค” กูเช็ตแถลงไว้สั้นๆ “Nobody Wants the Night ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ ศักดิ์ศรี และความเข้มแข็งของผู้หญิงทั้งสอง ระหว่างที่เธอต้องต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอดในพื้นที่อันตราย” อุณหภูมิและพายุหิมะที่พัดกรีดทั้งร่างกายและจิตใจในกรีนแลนด์เช่นนี้ ไม่มีใครอยากให้เวลาเดินเข้าสู่ราตรีกาล ซึ่งทุกอย่างจะยิ่งเลวร้ายและสิ้นหวังลงกว่าเดิม

Nobody Wants 03

อิซาเบล กูเช็ต (ขวามือ) และ รินโกะ คิคุชิ

กูเซ็ตพูดถึงการเป็นเพศหญิงและสถานะคนทำหนังของเธอว่า “สำหรับคนทำหนังทุกคน หนทางในการทำหนังก็เต็มไปด้วยก้อนหินกลิ้งเกลือกที่คอยกีดขวาง และสำหรับคนทำหนังเพศหญิง มันยิ่งเป็นหินก้อนใหญ่ฉิบหายเลยค่ะ! ขอให้เราเจอหินขนาดเดียวกับผู้กำกับชายเจอบ้างสิคะ เท่านี้ละที่ฉันเรียกร้อง”

อ่านเรื่องราวของ อิซาเบล กูเช็ต แบบละเอียดได้ ใน BIOSCOPE ฉบับ 158 (ปก Divergent)

The post หนังโลกที่เราอยากดู : Nobody Wants the Night (2015) – ตามผัวที่ขั้วโลกเหนือ !! appeared first on Mthai Movie.

หนังโลกที่เราอยากดู : From What Is Before (2014)

$
0
0

From What Is Before (2014)
การขุดรากฟิลิปปินส์ (อีกครั้ง ของ ลาฟ ดิอาซ)

Mula sa kung ano ang noon - poster 01

“ตัวรางวัลเสือดาวทองคำนั้นเป็นทองจริง แต่ก็เทียบได้แค่ร้อยละ 0.01 ของทองที่ (เฟอร์ดินานด์) มาร์กอสยักยอกไป” ลาฟ ดิอาซ (Lav Diaz) พูดติดตลกในการให้สัมภาษณ์ที่ฟิลิปปินส์ หลังจากเขากับบรรดาเพื่อร่วมทีมของ From What Is Before (หรือในชื่อฟิลิปปินส์ Mula sa Kung Ano ang Noon) ยัดรางวัลขนาดใหญ่ถึงสามชิ้น (อีกสองเป็นประกาศนียบัตรเชิดชูเกียรติ) ลงกระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่องบินกลับจากสวิตเซอร์แลนด์ได้โดยสวัสดิภาพ โดยชิ้นหนึ่งในนั้นห่อด้วยชุดราตรีของนักแสดงนำหญิง ฮาเซล โอเรนชิโอ เพื่อป้องกันการแตกหักเสียหาย “คนทำหนังฟิลิปปินส์ต้องประกวดชนะเทศกาลที่ให้รางวัลเป็นทองติดต่อกันอีกร้อยปี ถึงจะได้ทองที่มาร์กอสขนไปธนาคารสวิสทั้งหมดคืน” กลับมาจริงจังกันเล็กน้อย: เขาอุทิศรางวัลนี้ให้กับพ่อที่พาเขาเข้าโรงหนังตั้งแต่เยาว์วัย, ผู้กำกับหนังในสายประกวดโลการ์โนทุกคน โดยเฉพาะ เปโดร คอสตา และ มาเตียส ปิแญโร การต่อสู้ของชาวฟิลิปปินส์ตลอดมาในประวัติศาสตร์ และอุดมการณ์เพื่อสันติภาพ “ผมถือเป็นเรื่องดีสำหรับชาวฟิลิปปินส์ สำหรับภาพยนตร์ฟิลิปปินส์ นี่คือบทพิสูจน์ว่างานของเราทัดเทียมกับคนอื่น”

หลังโด่งดังในฐานะผู้กำกับ ‘หนังช้า’ (Slow Cinema) ลับแลคนสำคัญมานับทศวรรษ หนังของดิอาซเริ่มปักธงตามเทศกาลภาพยนตร์เด่นๆ มากขึ้นนับตั้งแต่ Melancholia (2008) กระทั่งการเดินทางครั้งสำคัญของ Norte, the End of History (2013) หนังความยาว‘เพียง’ 250 นาที ที่ไม่เพียงได้มาถึงคานส์ครั้งแรกในสาย Un Certain Regard แต่ยังเป็น ‘หนังสี’ (ดิอาซมีจุดยืนชัดเจนว่าสำหรับเขา“ภาพยนตร์คือสีขาวดำ” เวลาดูหนังสีที่บ้านยังปรับเป็นขาวดำก่อน)

ที่แม้จะมือเปล่ากลับบ้านแต่ก็ขายสิทธิ์จัดจำหน่ายได้อย่างน่าพอใจ เรียกผู้ชมได้เต็มโรงที่มะนิลาทั้งด้วยศักยภาพของตัวหนังและการสร้างกระแสอันชาญฉลาดของทีมโปรดิวเซอร์ เช่นเดียวกับการฉายสามรอบที่โลการ์โนที่เรียกผู้ชมเต็มโรงพร้อมกระแสในบล็อกกับทวิตเตอร์ของเหล่าขาเทศกาลที่พากันตื่นเต้นและมอบรางวัลเสือดาวทองคำให้ล่วงหน้า (ก่อนที่จะได้รางวัลจริงตามคาด)

Lav Diaz กับรางวัลเสือดาวทองคำจากหนังเรื่องนี้

Lav Diaz กับรางวัลเสือดาวทองคำจากหนังเรื่องนี้

กราฟชีวิตการทำงานของดิอาซที่พุ่งสูงทะยานนี้ ทำให้บรรดาแฟนเดนตายของเขาทั้งยินดีระคนเกิดคำถามว่า “หนังของเขาจะเปลี่ยนหรือถูกเปลี่ยนจนสูญเสียตัวตนหรือไม่” โดยเฉพาะเมื่อเขาได้พบเพื่อนร่วมงานกลุ่มใหม่ที่ช่วยเหลือด้านโปรดักชันกับการขายหนังได้มากกว่าก่อน และ From What Is Before ก็คือการโยนคำว่า ‘ไม่’ ตอบกลับไปอย่างหนักแน่นมั่นคง เพราะแม้ว่าหนังจะจัดอยู่ในกลุ่มสั้นของดิอาซ (338 นาที) แต่เขากลับมาทำหนังขาวดำที่เขารัก ไม่เพียงเครื่องมือด้านโปรดักชันที่ทำให้ภาพบนจอแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่จนกลายเป็นหนังที่ได้รับคำชื่นชมว่า ‘เข้าถึงง่าย’ ที่สุดเรื่องหนึ่งของเขา (ขาดเพียงความดิบกร้าวทางภาพและเสียงจากกล้องวิดีโอคุณภาพต่ำที่เราคุ้นเคยในหนังของเขายุคก่อน) หากเรื่องราวที่เล่าก็ยังตอกย้ำตัวตนอย่างชัดเจน มันคือฝันร้ายอันทรงพลังจนชวนให้เราเบือนหน้าหนีของชาวฟิลิปปินส์เช่นที่เคยปรากฏในผลงานเขามาตลอด และข้อที่ทำให้หนังเรื่องนี้อาจสั่นสะเทือนผู้ชมได้มากกว่าครั้งไหนๆ ก็คือ มันเล่าถึงช่วงเวลาที่เปรียบเสมือนปฐมบทของฝันร้ายทั้งหมดที่ฟิลิปปินส์ต้องพบเจอมากว่า 40 ปี ดังที่เราเคยได้รับรู้ทั้งจากหนังของดิอาซ และจากประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศหมู่เกาะแห่งนี้

ในทางหนึ่ง นี่เป็นหนังเรื่องล่าสุดก็จริง มีความเชื่อมโยงกับหนังเก่าของเขามากมายก็จริง แต่ก็เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับใครก็ตามที่ยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องต่อความป่วยไข้ของฟิลิปปินส์ในมิติต่างๆ และต่อพลังอันเป็นเอกลักษณ์ในหนังของ ลาฟ ดิอาซMula sa kung ano ang noon 03

โดยไม่ได้เจตนา – หนังเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่สามใน ‘ไตรภาคกฎอัยการศึก’ ที่เล่าย้อนหลัง (ซึ่งดิอาซไม่ได้คิดจะให้เป็นไตรภาค) ต่อจากหนังยาว 5 ชั่วโมงที่เขาทำสมัยอยู่อเมริกาอย่าง Batang West Side (2001) และหนังยาว 11.5 ชั่วโมงที่สถาปนาความเป็นออเตอร์ให้เขาในวงการภาพยนตร์โลกอย่าง Evolution of a Filipino Family (2004)…เรื่องแรกนั้นเล่าถึงชีวิตคนฟิลิปปินส์ในเจอร์ซีย์ซิตี ช่วงเวลาหลังการปกครองภายใต้กฎอัยการศึกที่ยาวนาน 9 ปีของมาร์กอส ส่วนเรื่องถัดมาแสดงภาพของชาวฟิลิปปินส์ทั้งในเมืองบ้านนอกและเมืองหลวงระหว่างที่กฎอัยการศึกยังมีผลบังคับใช้และนำมาซึ่งการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง โดย From What Is Before ย้อนไปก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้น

“หนังเรื่องนี้ยืนพื้นจากความทรงจำตอนเด็ก ย้อนไปช่วงสองปีก่อนประกาศกฎอัยการศึกในฟิลิปปินส์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ที่ดำมืดและหายนะที่สุดที่เราได้เจอ ตัวละครและสถานการณ์ทั้งหมดในเรื่องเคยเกิดขึ้นจริง เคยมีตัวตนอยู่จริงทั้งสิ้น”ดิอาซกล่าว “ผมทำทั้งหมดนี้เพื่อสำรวจสภาวะทางจิตใจทั้งของปัจเจกและส่วนรวมว่าตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงที่ลึกลับและรุนแรงถึงรากครั้งนี้อย่างไร ตั้งแต่ในเชิงสังคมวิทยา ไปจนถึงสิ่งแวดล้อมทางกายภาพอย่างดิน น้ำ สภาพอากาศ” ผ่านภาพขาวดำคอนทราสต์ต่ำที่ให้ความรู้สึกคล้ายสีซีเปีย สอดรับกับสุนทรียะแบบวิดีโอหรือฟิล์มบันทึกเหตุการณ์ ที่มักได้รับการอ้างอิงในฐานะบันทึกทางประวัติศาสตร์Mula sa kung ano ang noon 02

ลงรายละเอียดกันอีกสักนิด ตลอดหนึ่งชั่วโมงแรกของหนังคือการสถาปนาหมู่บ้านยากจนแห่งนี้ด้วยภาพเอ็กซ์ตรีมลองช็อต (extreme long shot) ที่กล้องแทบไม่ขยับเขยื้อน พ้นชั่วโมงนี้ไปจึงปรากฏตัวละครหลัก อาเพศเริ่มเกิดต่อชีวิตของผู้คนที่พำนักทำกินอยู่ในหมู่บ้าน และไม่มีทางออกหรือการชำระล้างใดๆ ทั้งต่อตัวละครผู้ทนทุกข์อย่างระยำหรือกับคนดูที่เป็นหนึ่งในประจักษ์พยานแห่ง ‘ความสามัญ’ ของความโหดร้ายป่าเถื่อนที่เกิดขึ้นและถูกลืมมาตลอดประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ เสียงลมทะเล ชายฝั่งอันสวยงาม โขดหินที่คอยรับแรงกระแทกของคลื่นที่ซัดสาดเข้าหาแผ่นดิน อาจเป็นภาพสวยงามในบริบทอื่น แต่สำหรับหนังเรื่องนี้และตัวละครในหมู่บ้านที่กำลังจะหายไปอย่างช้าๆ หลังจากหนังได้จบลง… นี่คือสัญญาณของพายุใหญ่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

“เช่นเดียวกับปรัชญา ภาพยนตร์คือการขุดค้นลงไปหาความจริงหักร้างถางพง ฟื้นฟู และเรียกคืนสิ่งที่สาบสูญ เราต้องเผชิญหน้ากับความป่วยไข้และความกลัวทั้งหมดที่มี กล้าเข้าไปในพื้นที่ตกสำรวจทางประวัติศาสตร์ นอกจากเพื่อเยียวยาตัวผมเองในสังคมเช่นนี้แล้วยังเพื่อตอบคำถามว่า ตอนนี้เราเป็นอะไร? ทำไมเราถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้? ทำไมระบบทุกอย่างถึงตรรกะวิบัติและผิดปกติ? คุณต้องค้นหาความจริงจากอดีต หรือกระทั่งคำลวงของอดีต” ความพร่าเลือนหม่นมัวของอดีตภายใต้คำลวงคือแกนหลักของ From What Is Before “ประวัติศาสตร์ปากเปล่าของคนที่ชีวิตห่างไกลตำรับตำราอาจมีพลังเชื่อมโยงกับอดีตสูง ต่างจากประวัติศาสตร์ตีพิมพ์ที่ได้รับการอ้างอิงในฐานะความทรงจำร่วมระหว่างเรา ที่บางครั้งก็แก่วิชาการหรือสะอาดสะอ้านจนเกินไป ภายใต้พลังของการทุ่มเทค้นคว้าวิจัย – หน้าที่ของผมในฐานะศิลปินและคนทำงานด้านวัฒนธรรมคือการถ่วงดุลทั้งสองด้านให้ทัดเทียมกัน การเปิดดวงตาของผู้คนนั้นทำได้ด้วยการเผชิญหน้ากับความกลัวของพวกเขา และทำลายมัน”Mula sa kung ano ang noon 05

ดิอาซกล่าวต่อ “ข้างในจิตวิญญาณของชาวฟิลิปปินส์เต็มไปด้วยความเศร้าโศก ทุกข์ทรมาน ผมเพียงส่องกระจกให้เห็น ‘สภาพ’ของพวกเราที่ใกล้เคียงกับความตายเหลือเกินทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ มันคือโรคร้ายที่กัดกินเป็นกาฝากอยู่ในร่างกาย แน่นอนว่าการรักษาเป็นสิ่งจำเป็น แต่รักษาอย่างไรล่ะ? ปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นทั้งจากระบบ และเกี่ยวพันกันอย่างเป็นระบบ เหลือเพียงการทำลายระบบเท่านั้นที่จะทำให้เราจัดระเบียบสิ่งต่างๆ เพื่อหลุดพ้นจากสภาวะง่อยเปลี้ยนี้ออกไปให้ได้

“ความกลัวเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้คนไม่อ้าแขนรับความจริงของประวัติศาสตร์มาตลอดกาลสมัย เมื่อเราตระหนักดีถึงการปฏิเสธความจริงและตัวตนเช่นนี้ การเผชิญหน้ากับความกลัว การนำความจริงไปเผชิญหน้ากับเหล่าผู้ปฏิเสธจึงมีเพียงหนทางเดียว – เราต้อง‘ฮาร์ดคอร์’ – ด้วยความหวังว่าเราจะขจัดโลกแห่งความกลัวออกไปจากร่างกาย ความคิด และจิตวิญญาณ”

***จากคอลัมน์ World Cinema โดย ปราชญ์
นิตยสาร BIOSCOPE ฉบับ 152 (เดือนกันยายน 2014)

The post หนังโลกที่เราอยากดู : From What Is Before (2014) appeared first on Mthai Movie.

รื้อหิ้งหนังเก่า : Ma Mère (2004) –คุณแม่…ของฉัน

$
0
0

Ma Mère (2004) – คุณแม่…ของฉันMa Mère - poster

Christophe Honoré

Christophe Honoré

(บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วน)

คริสตอฟ โอโรเน่ (Christophe Honoré) เป็นผู้กำกับชาวฝรั่งเศสที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น ด้วยการเล่าเรื่องดราม่าหนักๆ ที่ใช้เทคนิคงานภาพอันหวือหวา แต่ในขณะเดียวกัน หนังของเขาก็อบอวลด้วยความเศร้าและสัญญาณอันตราย

หนึ่งในผลงานของเขาอย่าง Seventeen Times Cecile Cassard (2002) ที่เก๋ไก๋ด้วยการใช้วิธีเล่าเรื่องโดยแบ่งเป็น 17 ฉากใหญ่ๆ ก่อนพาเราไปค่อยๆ ดูการเสียสูญจวบจนการฟื้นตัวของผู้หญิงชื่อ ซิซิล คาสซาร์ด (ตามชื่อเรื่องที่แปลแบบตรงตัวว่า 17 คูณ ซิซิล คาสซาร์ด) – หนังเปิดเรื่องด้วยซิซิล เห็นสามีของตนแก้ผ้า แต่เดินเข้าไปสัมผัสเขา แต่กลับกลายเป็นว่ามันคือภาพเงาที่ฉายผ่านโปรเจ็กเตอร์เท่านั้น เสียงของเขาดังไปทั่วห้อง แต่เธอไม่สามารถไขว่คว้าเขาไว้ในอ้อมกอดได้ เธอเริ่มเสียการควบคุมตัวเอง เกรี้ยวกราด ขังลูกไว้ในตู้โทรศัพท์ แล้วจึงกระโดดลงสายน้ำอันดำข้นคลั่ก สายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ แต่พาร่างเธอลอยล่องไปสู่ชายฝั่งแห่งใหม่ แผ่นดินของความรักและความหวัง

Seventeen Times Cecile Cassard แม้เต็มไปด้วยความมืดมิด แต่เนื้อเรื่องกลับมีความสว่างจ้า หากใน Ma Mère แม้หนังเต็มไปด้วยฉากสว่างๆ เน้นท้องฟ้าอันกว้างไกล ห้องสีขาวบริสุทธิ์ แต่เนื้อหากลับเต็มไปด้วยความมืดมิดชั่วกัปกัลป์

…นี่เป็นหนังที่ว่าด้วย ลูกที่อยาก xxx แม่ และ แม่ที่อยาก xxx ลูก!Ma Mère (2004) 03

ปิแอร์ ลูกคนรวยที่กลับมาบ้านติดทะเลของพ่อ ดูผิวเผินเหมือนเขาไม่ถูกกับพ่อของเขาสักเท่าไหร่ ปิแอร์ไม่มีความสุขกับชีวิตที่อ้างว้าง จนกระทั่งไปว่ายในสระน้ำและผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทักเขา…เธอคือเอเรียง แม่ของเขาที่หย่ากับพ่อไปแล้ว วินาทีแรกที่ปิแอร์เห็นแม่ แววตาก็บอกคำตอบว่า นี่คือคนที่เขารักมากที่สุดในบ้านหลังนี้ คุณแม่คนสวยแวะมาเยี่ยมลูกชายที่ไม่ได้เจอกันนาน ทว่าในรุ่งเช้าต่อมา พ่อของปิแอร์ก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุลึกลับ เอเรียงไม่เดิอดเนื้อร้อนใจหลังรู้ข่าว เธอไปเต้นรำกับผู้ชาย 1 โหล การเต้รที่ไม่ได้เพื่อดับทุกข์ แต่เป็นการ ‘เติมสุข’

ปิแอร์ค่อยๆ ก้าวเข้าไปสู่ ‘โลก’ ของแม่  เอเรียงเป็นผู้หญิงหยำฉา ในร่างหนึ่งเธอคือผู้หญิงทรงเสน่ห์ แต่อีกด้านเธอคือแม่มายเริงโลกีย์ร่านสวาทไปทั่วทั้งชายและหญิง เอเรียงแนะนำให้ปิแอร์รู้จักกับคู่รักเลสเบี้ยนของเธอ ทั้งคู่ไปเริงราตรีกัน – ฉากหนึ่งที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนหญิงของแม่ร่วมรักกับปิแอร์บนพื้นถนนยามค่ำคืน (ในยานที่ผู้คนพลุกพล่าน) ปิแอร์ได้แต่ทำหน้าตกใจประมาณว่า “อาอี๊จะทำอะไรผม” แต่เมื่อเขามองไปที่หลังเสา เขาก็พบว่า เอเรียงแม่ของเขายืนมองดูอย่างมีความสุข

Ma Mère (2004) 01

ฉากที่ดีอีกฉากคือ ปิแอร์จูบกับแฟนของแม่ แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาเธอกลับเปลี่ยนเป็นคนอื่น? ตลอดทั้งเรื่องขณะที่ปิแอร์กำลังคุยกับใครสักคน อยู่ดีๆ คนที่เขาเพิ่งคุยด้วยก็จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หนังเรื่องนี้คือโลกมายาของชายหนุ่มที่ค้นหาความหมายของชีวิต อะไรคือความสุข อะไรคือกามมารมณ์ อะไรคือการหลีกหนีความทุกข์ Ma Mère คือเขาวงกตมายาที่ปิแอร์วิ่งวนหลงทาง และทางออกมีอยู่เพียงหนึ่งเดียวคือ นรก

เมื่อถึงจุดหนึ่ง เอเรียงเริ่มสำนึกผิด เธอรู้ตัวว่าถ้าอยู่ด้วยกันต่อไปคงต่อมีอะไรกับปิแอร์แน่ๆ เธอจึงเลือกเดินจากไป เปิดโอกาสให้ปีแอร์ได้ทำความเข้าใจตัวเองทั้งเรื่องความสุขในชีวิตและรสนิยมทางเพศของตนเอง…แต่จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อหลังจากปิแอร์เข้าใจตนเองแล้วว่าต้องการอะไร เอเรียงก็กลับมาหาลูกตนเองอีกครั้ง ในชุดสีดอกกุหลาบไม่ต่างจากเพลิงเผาวิญญาณ เฉลิมฉลองค่ำคืนที่ร้อนที่สุดในชีวิต

บางครั้งฃีวิตก็น่าเศร้า เมื่อเราค้นพบว่าสิ่งที่เราต้องการ คือ ตัณหาวิปริต มันไม่ใช่อาการป่วย แต่มันคือคำตอบของทุกสิ่งMa Mère (2004) 02

…เมื่อคิดถึงความกล้าหาญในโลกภาพยนตร์  Ma Mère ถือเป็นประสบการณ์คุ้มค่า หนังเรื่องนี้น่าจะเป็นที่ถูกใจของคนทุกเพศทุกวัย แต่ใครที่จุดูเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศ ของขวัญที่ได้กลับไปคงเป็น ‘เซ็กซ์เสื่อม’ เสียมากกว่า

***เรียบเรียงจาก
Ma Mère (2004) – คุณแม่ (วิปริต) ของฉัน : คอลัมน์ Footnote โดย ไกรวุฒิ จุลพงศธร
นิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 38 (มกราคม 2548)

 

The post รื้อหิ้งหนังเก่า : Ma Mère (2004) – คุณแม่…ของฉัน appeared first on Mthai Movie.

หนังโลกที่เราอยากดู : The Tribe (2014) –ไม่มีอะไรจะพูด

$
0
0

The Tribe (2014) – ไม่มีอะไรจะพูดThe Tribe - poster

พระเอกเข้าโรงเรียนใหม่ โรงเรียนประจำที่แบ่งแยกชนชั้นในทางปฏิบัติอย่างเข้มข้น โรงเรียนแบบประเทศกึ่งพัฒนาที่พาดเกี่ยวกับอาชญากรรมและโสเภณี มีมาเฟียกร่างอำนาจใช้ชีวิตเป็นใหญ่อยู่ในรั้วนี้ หนทางเดียวที่เขาจะใช้ชีวิตอยู่ได้คือก่อเรื่องไต่เต้าสร้างความประทับใจให้เหล่าบิ๊กๆ แต่แล้วก็ดันไปสปาร์คกับหนึ่งใน ‘เด็ก’ ของหัวหน้าใหญ่ – ต่อจากนี้คงไม่ต้องเดาเพราะเดินมาเป็นไม้บรรทัดเสียขนาดนี้ แล้วมันน่าสนใจตรงไหน?

คำตอบ : โรงเรียนประจำใน The Tribe คือโรงเรียนพิเศษสำหรับคนพิการทางหู หนังเรื่องนี้ใช้ภาษามือทั้งเรื่องโดยไม่มีเสียงวอยซ์โอเวอร์และซับไตเติล! แถมยังถ่ายภาพกว้างจนแม้กระทั่งผู้พิการทางหูเองก็อาจมองภาษาจาก ‘มือ’ ได้ไม่ชัดเจนThe Tribe 02

มิโรสลาฟ สลาโบชพิตสกี (Miroslav Slaboshpitsky) ทำหนังยาวเรื่องแรกคล้ายดัดแปลงจากหนังสั้นของเขาเรื่อง Deafness (2010) ที่เล่าเรื่องในโรงเรียนพิเศษแบบนี้เช่นกัน (ซึ่งเน้นการออกแบบเสียงประกอบรอบข้างให้พิเศษและสร้างบรรยากาศ) สำหรับเขาแล้ว The Tribe “เป็นการแสดงความเคารพต่อหนังเงียบ ที่นักแสดงต้องสื่อสารกับคนดูผ่านทักษะคล้ายละครใบ้

“ตอนนี้ผมเห็นแทบทุกปีที่มีคนเริ่มเดินตามเทรนด์ทำหนังเงียบ แต่ทั้งหมดก็เป็นแค่การหยิบจับสไตล์มายำเท่านั้น” พูดซะไม่เกรงใจ The Artist กับ Blancanieves กันเลย “เป้าหมายหลักของผมคือทำหนังเงียบที่สมจริงและเป็นธรรมชาติ ซึ่งไม่ต้องใช้คำพูดหรือตัวอักษรใดๆ เราก็เข้าใจทุกอย่างที่ปรากฏตรงหน้าได้ ท่ามกลางหนังจำนวนมากที่คุณแค่ฟังเสียงแล้วตัวทำอย่างอื่นก็รู้เรื่องทะลุปรุโปร่ง หรือหนังประเภทที่นักแสดงยืนเงียบอย่างเดียว ตอนนี้ผมเจออีกเส้นทางหนึ่งซึ่งก็คือภาษามือ ในทางหนึ่งมันคล้ายการเต้นรำ บัลเลต์ หรือละครคาบุกิ โดยตัดความหวือหวาเกินจริงทั้งหมดออก เพราะนี่คือวิธีการที่ผู้คนเหล่านี้ใช้สื่อสารกันในสถานการณ์ปกติ”The Tribe 01

แน่นอนว่าเขาเลือกใช้นักแสดงที่พิการทางหูจริงๆ เท่านั้น โดยใช้เวลาแคสติงอยู่ราวหนึ่งปีผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ค และได้ผู้พิการทางหูที่ใช้ชีวิตใกล้เคียงกับสภาพความกดดันที่ปรากฏในหนังเกือบทั้งหมด “ผมไม่เคยคิดเรื่องใช้นักแสดงที่ ‘ได้ยินเสียง’ มาเล่นเรื่องนี้เลย นอกจากภาษามือ ภาษากายที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา เกิดขึ้นเพราะพวกเขาพิการทางหู มนุษย์ที่สามารถพูดหรือได้ยินเสียงได้ ใช้แค่กล้ามเนื้อหน้าเพื่อสื่อสาร ในขณะที่พวกเขาต้องใช้ทั้งร่างกายในการพูดคุยกันแต่ละครั้ง” ธรรมชาติและความสมจริงของพวกเขาถูกใช้ในหนังเรื่องนี้ได้อย่างน่าสนใจ เมื่อตัวละครผู้พิการทางหูทั้งหลายอยู่ในบริบทที่เรามักไม่เห็นบนจอภาพยนตร์ ไม่ว่าจะเป็นความรุนแรง อาชญากรรม และฉากเซ็กซ์ที่เปลือยกายต่อหน้ากล้อง (หนังหยิบภาพนักแสดงชายหญิงเปลือยกายและสื่อสารภาษามือกันมาเป็นจุดขายทั้งในภาพนิ่งและโปสเตอร์)The Tribe 03

ความเคลื่อนไหวถัดจากนี้น่าจับตามองอย่างยิ่ง การที่หนังได้รับการยอมรับที่คานส์ได้สถาปนาชื่อเสียงและสไตล์ของหนังไปเรียบร้อยและอาจมีส่วนช่วยผลักดันให้หนังภาษามือหรือหนังเพื่อผู้พิการทางหูเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงการภาพยนตร์โลก หลังจากที่ผู้กำกับภาพยนตร์ซึ่งพิการทางหูจำนวนหนึ่งพยายามผลักดันแนวคิดนี้มาตลอดและแม้จะเล่าเรื่องที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ก็ผลักพรมแดนให้ผู้พิการทางหูบนจอภาพยนตร์หลุดพ้นจากการถูกนำเสนอปัญหาความพิการแบบเฉพาะเจาะจง แต่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาคือส่วนหนึ่งของสังคมมนุษย์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ ความรู้สึก และความขัดแย้ง

**เรียบเรียงจาก BIOSCOPE Special Issue – 100 หนังโลกแห่งปี 2013 ที่ ‘ต้องดู’
Online Only on MBOOKSTORE.COM and OOKBEE Store

The post หนังโลกที่เราอยากดู : The Tribe (2014) – ไม่มีอะไรจะพูด appeared first on Mthai Movie.

รื้อหิ้งหนังเก่า : The Brown Bunny (2003)

$
0
0

The Brown Bunny (2003) – กระต่ายสีน้ำตาล กับ โอษฐกามเลื่องชื่อ!

The Brown Bunny (2003)

…บั๊ด เคลย์ อยู่ในห้องกับ เดซี่ เพียงสองต่อสอง ทั้งคู่พูดคุยด้วยภาษาที่เป็นปริศนาแบบที่คนเคยมีอดีตร่วมกันถึงจะเข้าใจ คนดูรู้อยู่แก่ใจว่าเขาต้องการเธอมากขนาดไหน ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต จะไม่มีผู้หญิงคนไหนมาแทนที่เธอได้

แล้วเคลย์ก็โอบกอดเธอ ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงเล้าโลมจนได้ที่ กล้องจับภาพที่เป้ากางเกงของเคลย์ซึ่งตุงจนเสียทรงกางเกง เดซี่กึ่งนั่งกึ่งยืน ใบหน้าของเธออยู่ในระดับเดียวกับกางเกงจนคนดูใจสั่นถึงสิ่งที่เธอจะทำต่อไป สิ่งที่กางเกงในห่อหุ้มไว้ขยายตัวเหมือนบอกเป็นนัยว่า เจ้าของกางเกงมีอารมณ์ร่วมขนาดไหน

ว่าแล้วเดซี่ก็ทำหน้าที่ของเธออย่างจริงจัง สายตาเธอเหลือบมองคนรักเป็นระยะ เขาพยายามดึงชุดชั้นในของเธอจนเปลือยบางส่วนของหน้าอกเธอ…

The Brown Bunny 05

ฉากนี้คือต้นตอที่ทำให้หลายคนกล่าวหาว่า The Brown Bunny  ไม่ต่างอะไรจาก ‘หนังโป๊’ เรื่องหนึ่งเท่านั้น ต่างออกไปก็ตรงที่ หนังเรื่องนี้ใช้ดาราดังอย่าง วินเซนต์ กัลโล (Vincent Gallo) และ โคลเอ เซวิญญี (Chloë Sevigny) ที่คอหนังอินดี้คุ้นหน้ากันดี

ในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2003 ขนานนามที่ The Brown Bunny ได้รับจากสื่อมวลชนคือ “หนังที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่สายประกวดเคยมีมา” ไปจนถึง “นี่คือความหลงตัวเองขั้นสูงสุดของกัลโล”

เท่าที่รู้กันว่ากัลโล “ไม่เคยเห็นใครดีกว่าตัวเอง” จะเป็นเรื่องของพรสวรรค์หรือทัศนคติก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน ในเมื่อตัวเขา เล่นเหมาหมดทุกตำแหน่งในกองถ่าย ตั้งแต่กำกับ เขียนบท โปรดิวซ์ แสดงนำ กำกับภาพ ตัดต่อ โปรดักชั่นดีไซน์ ออกแบบเครื่องแต่งกาย คัดเลือกนักแสดง จนถึงแต่งหน้าทำผม!

Vincent Gallo

Vincent Gallo

แม้หนังจะเล่าเรื่องอย่างราบเรียบ เหมือนหนังอาร์ตชวนเหงาทั่วๆ ไป แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนตาลุกวาว คงเป็นความสมจริงสมจังของกัลโล ที่กล้าโชว์ ‘ของดี’ ของตัวเองแบบชัดๆ ไม่มีปิดบัง

ในขณะที่หนังเรื่องอื่นๆ มักจะเถียงว่า “ในฉากเลิฟซีนเรามีคนดูอยู่เต็มกองถ่ายนั่นแหละ” แต่ใน The Brown Bunny มีคนอยู่ในกองถ่ายเพียงสองคน คือกัลโลและเซวิญญี โดยกัลโลเป็นคนควบคุมกล้องด้วยรีโมตคอนโทรล

The Brown Bunny เป็นเรื่องสุดเหงาของ บั๊ด นักแข่งมอเตอร์ไซค์ระดับโลก ผู้กำลังเดินทางข้ามรัฐด้วยรถตู้คันเก่า ระหว่างทางพบปะหญิงสาวมากหน้า เพียงเพื่อบำบัดคลายเหงาและความคิดถึงที่มีต่อ เดซี่ คนรักเก่าไปได้ หนังจึงฉายให้เห็นความเวิ้งว้างของภูมิทัศน์เพื่อสะท้อนจิตใจอันหลงทางของบั๊ด

The Brown Bunny 02

ดังนั้น  ‘ฉากโอษฐกาม’ อันอื้อฉาว จึงกลายเป็นจุดสุดยอดของความถวิลหาหญิงสาวที่วนเวียนอยู่ในความทรงจำ ดั่งกุญแจดอกสุดท้ายที่ไขความลับในใจของเขา บั๊ด ผู้แทบจะไม่พูดอะไรเลยมาตลอดทั้งเรื่อง มันช่างเป็นกระบวนการที่แปลกประหลาดหลังจาก ‘หลั่งความสุข’ ออกจากร่างกาย …เขาก็หลั่งความทุกข์ ด้วยการระบายทุกสิ่งทุกอย่างในหัวใจที่ดำมืดของเขาออกมาได้สำเร็จ

**เรียบเรียงจาก นิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 41 (เมษายน 2548)

The post รื้อหิ้งหนังเก่า : The Brown Bunny (2003) appeared first on Mthai Movie.

หนังโลกที่เราอยากดู : Force Majeure (2014) –มนุษย์ ‘เพศชาย’ ?

$
0
0

หนังโลกที่เราอยากดู : Force Majeure (2014) – มนุษย์ ‘เพศชาย’ ?

Force Majeure - poster

รูเบน ออสต์ลุนด์ (Ruben Östlund) ผู้กำกับ-เขียนบทชาวสวีเดนคนนี้อายุครบ 40 พอดีในช่วงเสร็จสิ้นจากงานสเปเชียลเอฟเฟ็คต์ของ Force Majeure ซึ่งกลายมาเป็นผู้คว้ารางวัล Jury Prize จากสาย Un Certain Regard ในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2014 …นี่เป็นผลงานลำดับ 4 ของเขา ถัดจาก Guitar Mongoloid (2005) หนังสารคดีเทียมเล่าชีวิตของเหล่า ‘คนนอก’ แห่งเมืองโกเธนเบิร์กที่มีตัวละครเอกเป็นเด็กน้อยดาวน์ซินโดรมผู้นิยมเล่นเครื่องดนตรีในชื่อหนัง, Involuntary (2008) หนังสุดเจ็บว่าด้วยผู้คนที่ยึดมั่นถือมั่นในหลักการส่วนตัวชนิดหัวชนฝาจนชีวิตหายนะลงทุกทีๆ และ Play (2011) หนังดราม่าจิตวิทยาที่หยิบปัญหาการข่มเหงรังแกในหมู่วัยรุ่นมาตีแผ่ได้รุนแรงหม่นมืดราวกับเป็นหนังของ มิคาเอล ฮาเนเคอ ก็ไม่ปาน โดยทั้งสามเรื่องนี้ล้วนโดดเด่นด้วยงานภาพมุมกว้างเนิบนานแช่นิ่ง

RUBEN ÖSTLUND

RUBEN ÖSTLUND

Force Majeure เป็นส่วนผสมที่น่าสนใจสุดๆ ของหนังตลกร้ายกับหนังดราม่าสไตล์ฮาเนเคอ เล่าถึงครอบครัวชนชั้นกลางค่อนบนซึ่งประกอบด้วย เอ็บบา กับ โทมัส คู่สามีภรรยา, เวรา ลูกสาววัย 12 และ แฮร์รี ลูกชายวัย 8 ขวบ ที่ความสัมพันธ์มีอันต้องล่มสลายเมื่อโทมัสไม่อาจทำตัวตอบสนองความคาดหวังของสังคมได้ เรื่องเกิดขึ้นในวันหนึ่งระหว่างการท่องเที่ยวเล่นสกีที่ครอบครัวแสนสุขีนี้กำลังนั่งกินมื้อกลางวันกันบนระเบียงร้านหรูพลางทอดสายตาชื่นชมความตระการตาของเทือกเขาแอลป์ ฉับพลันนั้นปรากฏก้อนหิมะไหลหล่นลงมาตามแนวเขา สร้างความตื่นเต้นกระตู้วู้แก่บรรดานักท่องเที่ยวที่รีบคว้ากล้องมือถือขึ้นหวังเก็บภาพน่าตื่นเต้นเป็นการใหญ่ ทว่า ช่างโชคร้าย…หิมะเพิ่มความเร็วและปริมาณในการถล่มหนักขึ้นทุกที ยิ่งกว่านั้นคือมันมุ่งหน้าเข้าหาร้านอาหารแห่งนี้โดยตรง!

แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาอย่างไม่อาจเลี่ยงจึงคือความโกลาหลครั้งใหญ่ แฮร์รีระเบิดเสียงร้องหาพ่อ แต่สิ่งที่โทมัสทำกลับคือการคว้าถุงมือกับโทรศัพท์แล้ววิ่งหนีเอาตัวรอดตามลำพังโดยทิ้งลูกเมียไว้เบื้องหลัง …ความวิบัตินี้จบลงด้วยการที่ทุกคนรอดตายมาได้ ทว่ามันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งบาดแผลในจิตใจอันยากเยียวยาที่นำพาทุกคนในครอบครัวนี้ไปสู่ความดำมืด

วันรุ่งขึ้นหลังรอบปฐมทัศน์ที่คานส์ของ Force Majeure ผ่านพ้นไปอย่างงดงามด้วยการสแตนดิงโอเวชันของคนดู เรามานั่งคุยกับ รูเบน ออสต์ลุนด์ บนระเบียงเงียบๆ ของ Palais อันเป็นสถานที่จัดเทศกาล พลางทอดสายตาชื่นชมเรือยอชต์กว่าสิบลำที่เทียบท่าอยู่อย่างนิ่งสงบเบื้องล่าง….

Force Majeure 01

BIOSCOPE : เรามาคุยถึงหนังเรื่องนี้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นกันเลยนะครับ

ออสต์ลุนด์ : ได้ครับ …สำหรับผมขั้นตอนที่น่าสนใจที่สุดขั้นหนึ่งในการทำหนังก็คือการหาข้อมูล พอดีช่วงนี้ผมกำลังสนใจเรื่องศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรมนิยม (Behaviorism – ทฤษฎีที่ให้ความสำคัญในการศึกษาพฤติกรรม โดยเชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า) ก็เลยได้อ่านงานวิจัยทางสังคมวิทยาสองชิ้นว่าด้วยผลกระทบหลังหายนะภัย ชิ้นนึงเกี่ยวกับเหตุการณ์จี้เครื่องบิน อีกชิ้นเกี่ยวกับเรือล่มซึ่งข้อมูลที่สังเกตเห็นได้ชัดจุดหนึ่งก็คือ คู่ผัวเมียที่รอดตายมาจากเครื่องบินจะมีสถิติหย่าร้างสูงมาก เหตุผลง่ายๆ ข้อแรกคือมันอาจเป็นผลจากการที่จิตใจของทั้งคู่บอบช้าจากสถานการณ์ จนทำให้เกิดคำถามเรื่องการดำรงอยู่ของตัวเองขึ้นมา เช่น “ทำไมฉันถึงรอด?” “ฉันมีชีวิตเพื่ออะไร?” “ทำไมฉันจึงทำอะไรๆ แบบที่ฉันทำ?” และ “แล้วฉันควรจะใช้ชีวิตแบบเดิมต่อไปรึเปล่า?” แต่นอกจากนั้นการหย่าร้างยังอาจเป็นเพราะเราเริ่มมองเห็นด้านที่ไม่เคยเห็นมาก่อนของคนรัก และ ตัดสินใจว่าไม่อยากจะใช้ชีวิตร่วมกับคนคนนี้อีกต่อไปแล้วก็ได้

ในหนังสือที่พูดถึงเหตุการณ์เรือล่มตั้งแต่ Titanic (1912) มาจน Estonia (1994) ยังบอกตัวเลขสถิติที่น่าสนใจมากๆ ด้วยครับ เช่น คนที่รอดตายมักจะเป็นผู้ชายวัย 25-50 ปี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งอย่างจังเลยกับตำนานเรือไททานิกที่เล่ากันมานานว่าผู้ชายบนนั้นเสียสละให้ผู้หญิงกับเด็กหนีก่อน กติกามารยาทของสังคมมักสอนเราว่าผู้ชายต้องปกป้องครอบครัวด้วยการเป็นฝ่ายต้อนลูกเมียให้ขึ้นเรือชูชีพก่อนตัวเอง แต่ในความเป็นจริง ผู้ชายกลับมักเห็นแก่ตัวทันทีเมื่อถึงเวลาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย

Force Majeure 06

อีกข้อมูลนึงในหนังสือที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ กัปตันและลูกเรือมีสถิติรอดชีวิตมากกว่าผู้โดยสาร อย่างกรณีเรือกอสตากอนกอร์เดียล่มเมื่อสองปีก่อนและเรือล่มที่เกาหลีใต้เมื่อเร็วๆ นี้ก็เหมือนกัน …คนตะวันตกเรามีวาทะสรุปความคาดหวังที่สังคมมักมีต่อเหตุการณ์จำพวกนี้ว่า “กัปตันจมกับเรือ” (“The captain goes down with the ship”) แต่ก็อีกแหละครับ ความคาดหวังขัดแย้งกับความเป็นจริงเสมอ

จุดที่ผมสนใจระหว่างการหาข้อมูลก็คือเรื่องความคาดหวังอะไรทำนองนี้นี่แหละ หนังหรือวรรณกรรมเยอะแยะที่เราเคยดูกันมักจะมีตัวละครเอกเป็น ‘วีรบุรุษ’ ขณะที่ในชีวิตจริงเวลาพูดถึงเหตุการณ์น่ากลัวๆ เช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไททานิกล่ม หรือ 9/11 เราก็มักจะให้ความสำคัญกับการยกย่องพฤติกรรมแสดงความกล้าหาญของปัจเจก ซึ่งมันไม่ได้ใกล้เคียงกับความจริงเลย อันที่จริงผู้ชายส่วนใหญ่ที่รอดตายจากสถานการณ์เหล่านี้มาได้จะรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลาเพราะเขามักทำอะไรขัดแย้งกับที่สังคมคาดหวัง โดยเฉพาะการที่เขาวิ่งหนีเอาตัวรอดมาคนเดียว

ฉะนั้น ก็เลยน่าตั้งคำถามว่า เพราะอะไร‘การวิ่งหนีเอาตัวรอด’ ถึงได้ถูกประทับตราเป็นอาชญากรรมที่ชั่วร้ายที่สุดสำหรับผู้ชายโดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นพ่อ? ประเด็นที่ผมอยากสำรวจใน Force Majeure ก็คือ ผู้ชายถูกสังคมคาดหวังให้ต้องเล่นบทบาทพ่อยังไง โดยแทนที่จะใช้ฉากหลังเป็นเหตุการณ์จี้เครื่องบินหรือเรือล่มทั่วๆ ไป ผมก็เลือกใช้เหตุการณ์ระหว่างการเล่นสกีซึ่งผมเคยถ่ายวิดีโอสั้นๆ ไว้เพียบสมัยเด็กมาเป็นฉากหลังแทน โดยกำหนดให้เรื่องราวเกิดขึ้นที่รีสอร์ตหน้าหนาวครับ

Force Majeure 03

BIOSCOPE : หนังไม่ได้ตั้งคำถามกับแค่ความคาดหวังที่สังคมมีต่อผู้ชาย แต่ยังมีตัวละครเพื่อนผู้หญิงของเอ็บบาซึ่งพูดเรื่องการแต่งงานกับครอบครัวด้วยทัศนคติแบบเสรีนิยมซะจนเอ็บบาช็อคไปเลย

ออสต์ลุนด์ : ใช่ครับ ครอบครัวเดี่ยวสมัยนี้ที่ประกอบด้วยแม่ พ่อ กับลูกสองคนเป็นตัวสำคัญเลยล่ะ ในการสร้างทัศนคติที่เรามีต่อตัวเอง ผมเชื่อว่าเหตุที่ตอนนี้เราอยู่ในยุคที่อนุรักษ์นิยมที่สุดก็เป็นผลมาจากทัศนคติของการอยู่กันแบบครอบครัวเดี่ยวนี่แหละ ลักษณะแบบนี้ไม่ค่อยมีในช่วงปลายยุค 1800 ซึ่งคนอยู่กันแบบครอบครัวขยาย มีปู่ย่าตายาย ลุงป้าน้าอา ลูกสะใภ้หลานสะใภ้อยู่รวมในบ้านเดียวกันหมด แต่สภาพเศรษฐกิจ ระบบการผลิต ระบบธุรกิจบีบให้เราต้องโยกย้ายเข้าเมือง ต้องมีพื้นที่อยู่อาศัยเล็กลง ต้องตัดตัวเองออกจากคนรุ่นเก่านำมาสู่การต้องสร้างกฎกติกาใหม่ ต้องสร้างความเชื่อใหม่เกี่ยวกับครอบครัวเดี่ยวเพื่อจะได้ผลักดันให้เกิดวิถีชีวิตแบบใหม่ แต่แน่นอนว่าครอบครัวเดี่ยวเป็นอะไรที่เปราะบางมาก ถ้าพ่อแม่ต้องออกจากบ้านไปทำงาน ก็แปลว่า จะไม่มีใครอยู่บ้านดูแลลูกๆ ขณะที่ถ้าเป็นครอบครัวใหญ่ ต่อให้พ่อแม่ออกไปทำงานก็ยังมีญาติๆ ช่วยดูแลเด็กให้อีกเยอะแยะ

แม้แต่รีสอร์ตสกีที่เป็นฉากหลังของ Force Majeure เอง ในทางประวัติศาสตร์ก็ยังเป็นสถานที่ที่ถูกออกแบบโครงสร้างให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของมนุษย์เงินเดือน (ซึ่งโดยมากก็คือผู้ชาย) อีกเหมือนกันครับ เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง พนักงานกินเงินเดือนเริ่มมีเงินเก็บมากพอจะพาครอบครัวไปเที่ยวหรูๆ ได้ รัฐบาลฝรั่งเศสเลยลงทุนสร้างรีสอร์ตสกี 3 แสนเตียงในซาวอยเพื่อรองรับคนเหล่านี้ ซึ่งผมว่ามันน่าสนใจดีถ้าเราจะลองมองเรื่องพวกนี้ในมิติของโครงสร้างทางสังคม มันเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อเกี่ยวกับครอบครัวเดี่ยวทั้งหมดเลย

และก็อย่างที่คุณบอกน่ะครับ ตัวละครเพื่อนของเอ็บบายิ่งเป็นตัวดันประเด็นความล่มสลายของโครงสร้างครอบครัวตามขนบให้ไปสุดขั้ว เพราะเธอปฏิเสธแนวคิดความสัมพันธ์ผัวเดียวเมียเดียว เธอเชื่อว่าตราบใดที่ลูกๆ มีคนดูแลได้โอเค ก็ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นคนทำหน้าที่นั้น ยิ่งถ้ามีเงินจ้างคนมาเลี้ยงลูกแทนได้ก็ยิ่งดี! สิ่งสำคัญสำหรับเธอไม่ใช่ครอบครัวขยายหรือกระทั่งครอบครัวเดี่ยวด้วยซ้ำ แต่คือตัวเธอเอง

Force Majeure 04

BIOSCOPE : ประเด็นสามารถเล่าได้หลายแบบ เช่นว่าเป็นหนังแบบเบิร์กแมนหรือฮาเนเคอก็ได้ …แล้วทำไมคุณถึงเลือกเล่าเป็นหนังตลก

ออสต์ลุนด์ : ผมพยายามผสมคอมิดีกับดรามาในหนังผมทุกเรื่อง แม้แต่ Play ผมว่าก็ตลกนะ ต่อให้เล่นกับประเด็นแรงๆ อย่างเด็กรังแกกันหรือความสัมพันธ์ของสีผิวซึ่งเป็นเรื่องที่เราไม่เคยรู้เลยว่าสามารถขำได้รึเปล่า ผมรู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จนะถ้าสามารถทำฉากที่เริ่มมาแบบน่ากลัวแล้วจู่ๆ ก็น่าขำขึ้นมาซะงั้น ผมชอบเวลาที่คนดูไม่แน่ใจว่าควรจะมีปฏิกิริยายังไงดีกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า

การปะทะกันระหว่างดรามากับคอมิดีแบบนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะตัวละครหลักจริงๆ ในหนังของผมคือตัวสถานการณ์ ไม่ใช่ตัวคนอย่างในเรื่องนี้ตัวละครหลักไม่ใช่เอ็บบาหรือโทมัส แต่คือสถานการณ์ที่โทมัสไม่สามารถปกป้องครอบครัวได้ ประเด็นที่เราเล่นค่อนข้างจะเป็นเชิงทฤษฎีหน่อยน่ะครับ แกนของหนังไม่ได้เกี่ยวกับปูมหลัง ชนชั้นทางเศรษฐกิจสังคมหรือประวัติความสัมพันธ์ใดๆ ของตัวละครเลย แต่อยู่บนพื้นข้อเท็จจริงง่ายๆ ที่ว่า คนพวกนี้เป็นมนุษย์และเขาก็ถูกจับโยนเข้าไปใส่ในสถานการณ์ที่ว่านั่น

Force Majeure 02

BIOSCOPE : โทมัสถึงได้พูดใช่มั้ยว่าเขาเป็น ‘เหยื่อของสัญชาตญาณตัวเอง’

ออสต์ลุนด์ : ที่สวีเดน ผมมีเพื่อนเป็นเฟมินิสต์ฮาร์ดคอร์หลายคนซึ่งบอกว่านั่นเป็นประโยคที่ฮาที่สุดในหนังเลยล่ะ ถ้าโทมัสมีตัวจริงก็คงโดนพวกนี้ด่าว่า “แกคิดว่าแกเป็นเหยื่อเรอะ? แกไม่ใช่เหยื่อซะหน่อย แกเป็นผู้ชายผิวขาวต่างหาก!” เพราะข้อแก้ตัวของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาโง่เง่าและล้าหลังทางการเมืองขนาดไหน

แต่ในเวลาเดียวกัน อย่าลืมว่ากัปตันเรือกอสตากอนกอร์เดียก็พูดประโยคนี้ออกมาจริงๆ นะครับ เขาบอกว่า “ผมเป็นเหยื่อของสัญชาตญาณตัวเอง” ซึ่งเขาก็พูดถูก เขามีบทบาทเป็น ‘กัปตัน’ และในฐานะกัปตัน เขาย่อมถูกคาดหวังว่าต้องทำอะไรบางอย่างหากเรือประสบภัย แต่เมื่อสัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำงาน เขาก็ลืมทุกสิ่งที่ต้องทำและเลือกทำสิ่งที่สังคมรับไม่ได้แทน แล้วหลังจากนั้นก็ต้องมาเผชิญหน้ากับสังคมเพื่อรับผลของสิ่งที่ทำลงไปจุดที่ผมคิดว่ากัปตันคนนี้ทำผิด หรือพูดอีกอย่างว่าเป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนซึ่งตกอยู่ใต้แรงกดดันของสังคมมักทำผิด ก็คือการที่เขาเริ่มโกหกน่ะครับ เริ่มหาข้อแก้ตัวโง่ๆ เช่นว่า เขารอดตายมาได้ก็เพราะ “บังเอิญหล่นลงไปในเรือชูชีพ” ซึ่งใครจะเชื่อวะนี่?! โทมัสก็พยายามอ้างเหมือนกันว่าเขาไม่ได้ ‘วิ่งหนี’ครอบครัวไปแบบที่เอ็บบาด่าซะหน่อย เพราะ“ตอนนั้นผมใส่รองเท้าสกีอยู่นะ จะวิ่งได้ยังไงเล่า!” ซึ่งคำแก้ตัวบ้าๆ แบบนี้ยิ่งทำให้ดู ‘ไม่แมน’ ไปกันใหญ่

แต่กระนั้น ต่อให้เรายอมรับความเป็นจริงหรือยอมรับ ‘ความล้มเหลว’ มันก็ยังไม่มากพอจะทำให้ทุกๆ คนพอใจได้อยู่ดี ผมมีเพื่อนที่เคยเจอเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ มีคนนึงไปเดินห้างในฟิลิปปินส์แล้วเจอมือปืนไล่ยิงคน ตอนนั้นแฟนเขากำลังลองเสื้อผ้าอยู่ แต่พอตัวเขาได้ยินเสียงปืนปุ๊บก็โดดไปหลบหลังเคาน์เตอร์คิดเงินปั๊บ หลังจากนั้นแฟนบ่นว่า“ทำไมไม่วิ่งมาหาฉันล่ะ” เขาตอบว่า “จะบ้าเหรอ? คิดว่าผมเป็นพระเอกหนังแอ็กชันรึไง?”แล้วไม่กี่อาทิตย์ต่อมาสองคนนี้ก็เกือบเลิกกัน เห็นมั้ยว่าต่อให้เขาสารภาพอย่างซื่อสัตย์ว่าตัวเอง ‘ทำผิด’ แต่เหตุการณ์นี้ก็เปลี่ยนกฎความสัมพันธ์ของพวกเขาไปถึงระดับรากอยู่ดี

BIOSCOPE : ถ้าคุณเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้างล่ะ คุณจะทำยังไง

ออสต์ลุนด์ : (หัวเราะ) ถ้าดูจากสถิติ ผมว่าผมคงวิ่งหนีนะ แต่จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้เราคิดล่วงหน้าไม่ได้หรอก ผมว่ารายละเอียดของสถานการณ์จะเป็นตัวกำหนดเองว่าแต่ละคนจะมีปฏิกิริยายังไง เช่น ถ้าตอนนั้นผมอยู่ใกล้ประตูทางออกพอดี ผมก็คงวิ่งหนีไปเลย หรือถ้าข้างหน้ามีคนบังทางอยู่ ผมก็คงหาวิธีอื่น รายละเอียดของสถานการณ์นี่แหละที่สำคัญต่อการตัดสินใจของคนเราในชั่ววินาทีนั่น

แต่เมียเก่าผมเค้าเชื่อจริงๆ เลยนะว่าผมจะไม่วิ่งหนีแน่ๆ!

Force Majeure 05

BIOSCOPE : เมียเก่า!?

ออสต์ลุนด์ : ช่าย…ตลกดีเนอะ อันที่จริงผมค่อนข้างจะเหมือนตัวละคร แม็ตส์ เพื่อนของโทมัสนะ เพราะผมชอบมองสิ่งต่างๆ ด้วยเหตุผลจัดๆ แต่ในเวลาเดียวกันผมก็เฮิร์ตง่ายถ้าโดนใครมองว่านิสัยบางอย่างของเราเป็นข้อด้อย อย่างความที่ผมเป็นผู้ชายก็มักจะถูกจับโยนเข้ากลุ่ม ‘พวกผู้ชาย’ และถูกตัดสินแบบเหมารวมอยู่เรื่อย ถ้าผู้หญิงพูดขึ้นมาว่า “พวกผู้ชายอย่างคุณน่ะ….” ผมจะรู้ทันทีเลยว่าเดือดร้อนแน่ ไม่ว่าจะเพราะ ‘พวกผู้ชาย’ มักมีปัญหาอะไรสักแง่ หรือเพราะตัวผมเองทำตัวไม่ได้มาตรฐานตามที่ ‘ผู้ชาย’ ควรเป็นก็เถอะ

ถึงที่สุดแล้ว เราทั้งหลายไม่ว่าชายหรือหญิงก็เป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น มนุษย์ย่อมมีความกลัว มีสัญชาตญาณ มีสติสัมปชัญญะ มีจิตใจ มีร่างกาย ฯลฯ เคล็ดลับอยู่ตรงที่เราต้องสร้างสมดุลให้ได้ ช่วงท้ายๆ ของหนัง Force Majeure ตัวละครจะรู้สึกละอายใจขึ้นมาเป็นครั้งแรกที่ละทิ้งกันไปเพราะความกลัว พวกเขาสงสัยว่าตัวเองกลัวเว่อร์ไปรึเปล่า แต่หลังจากนั้นเมื่อขึ้นไปเดินบนภูเขาด้วยกันอีกครั้ง แต่ละคนก็เริ่มรู้สึกว่านี่แหละคือความเป็นมนุษย์ และไม่ว่าความกลัวที่เกิดกับพวกเขาจะมีเหตุผลหรือไม่ มันก็เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น เมื่อถึงจุดนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหลบหนีไปไหนอีกแล้ว ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับได้เสียทีในสิ่งที่ตัวเองเป็น

***ส่วนหนึ่งจาก Scoop – Cannes 2014 Exclusive Interview
โดย โรเบิร์ต ดับเบิลยู เดวิส (Robert W. Davis) ผู้สื่อข่าวพิเศษประจำเทศกาลหนังเมืองคานส์ของ BIOSCOPE
นิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 150 (ก.ค. 57)

The post หนังโลกที่เราอยากดู : Force Majeure (2014) – มนุษย์ ‘เพศชาย’ ? appeared first on Mthai Movie.


รื้อหิ้งหนังเก่า : Morvern Callar (2002) – Dedicated to the One I Love

$
0
0

Morvern Callar (2002) – Dedicated to the One I Love

MORVERN CALLAR, poster art, 2002, ©Palisades Pictures

MORVERN CALLAR, poster art, 2002, ©Palisades Pictures

(เปิดเผยความลับของหนัง)

ชื่อของ ลินน์ แรมเซย์ (Lynne Ramsay – ที่บ้านเราคงจะคุ้นจากงานชิ้นล่าสุดเมื่อปี 2011 อย่าง We Need to Talk About Kevin) แม้จะไม่คุ้นหูในวงกว้างมากนัก แต่เธอคือผู้กำกับหญิงชาวสก็อตแลนด์ที่ถูกจับตามองจากงานกำกับเพียง 2 ชิ้นแรกของเธอเองเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตั้งแต่งานกำกับหนังยาวเรื่องแรกอย่าง Ratcatcher (1999) หนัง Coming of Age ที่ว่าด้วยเด็กชายวัย 12 ขวบ ที่เผลอฆ่าเพื่อนตายอย่างไม่ได้ตั้งใจ! ไปจนถึงหนังเรื่องนี้ ที่ตัวละครเอกต้องชีวิตพลิกผัน ด้วยความตายของใครอีกคนหนึ่งเช่นกัน

Morvern Callar เป็นทั้งชื่อหนังเรื่องนี้ และชื่อของตัวละครนำ โดยดัดแปลงมาจากนิยายที่เคยถูกบอกว่าไม่สามารถดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์ได้ของ อลัน วอร์เนอร์ (Alan Warner) นักเขียนชาวสก็อตที่เล่าเรื่องผ่านการใช้สรรพนามบุรุษที่หนึ่งตลอดทั้งเรื่อง แต่เมื่อแรมเซย์ดัดแปลงเป็นภาพยนตร์กลับไม่มีการใช้เสียง Voice Over แบบในนิยายเลย แถมตัวเอกในเรื่องนี้ (ที่รับบทโดย ซาแมนธา มอร์ตัน – Samantha Morton นักแสดงยอดฝีมือชาวอังกฤษ ที่หลายคนคุ้นหน้าจากหนังอย่าง Minority Report, In America, Control หรือ Synecdoche, New York เป็นต้น) ก็แทบจะไม่เอ่ยปากปริประโยคออกมาสักเท่าไหร่ ซึ่งนี่คือความจงใจกั้นรั้วระหว่างคนดูกับตัวละครของแรมเซย์ เพื่ออยากให้ผู้ชมค่อยๆ สังเกตและเรียนรู้ตัวคอลลาร์ไปทีละน้อย

Morvern Callar 02

มอร์เวิร์น คอลลาร์ เป็นพนักงานในซุปเปอร์มาเก็ตสาววัย 21 ใช้ชีวิตในเมืองเล็กๆ ของสก็อตแลนด์ร่วมกับแฟนหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียน…ทว่า ภาพแรกของหนังเรื่องนี้ คือการที่ตัวคอลลาร์ ตื่นมาพบแฟนของเธอในสภาพจมกองเลือดในห้องพัก แสงไฟคริสต์มาสกระพริบเป็นระยะในห้องที่มืดสลัว – ใช่แล้ว แฟนของเธอฆ่าตัวตายในวันคริสต์มาสอีฟ – หากแต่เขาได้ทิ้งจดหมายลาตายไว้ พร้อมข้อความที่ว่า “ขอโทษนะ อย่าพยายามเข้าใจเลย ดูเหมือนว่านี่จะเป็นสิ่งถูกต้องที่สุดแล้วที่ฉันควรทำ” พร้อมคำเสีย และสิ่งของต่างๆ ที่ทิ้งไว้ให้ ทั้งเงินค่าทำศพที่ฝากไว้ในบัญชีธนาคาร, นวนิยายที่เขาเขียนเสร็จแล้วในคอมพิวเตอร์ และขอให้มอลลาร์พิมพ์ส่งเสนอสำนักพิมพ์ให้หน่อย พร้อมของขวัญเล็กๆ น้อยๆ อันได้แก่ แจ็คเก็ตหนัง ไฟแช็ค และเครื่องเล่นเทปวอล์กแมนพร้อมเทปรวมเพลงที่เขาอัดให้เธอไว้

แม้ดูเป็นสถานการณ์ชวนเหวอ จนคนดูลุ้นว่าคอลลาร์จะจัดการยังไง แต่สุดท้ายเธอกลับเลือกวิธี ‘ไม่จัดการอะไรเลย’ ด้วยการทิ้งศพไว้เฉยๆ และสวมวอล์กแมนพร้อมเทปม้วนนั้นออกนอกบ้านไปเที่ยวผับกับเพื่อน – เทปม้วนนี้ คือสิ่งสำคัญที่จะพาเราไปสำรวจตัวของคอลลาร์ผ่านเพลงต่างๆ ที่แฟนเธอเลือกไว้ให้ ในเมื่อตัวของคอลลาร์แทบไม่พูดหรือระบายความรู้สึกใดๆ ผ่านสีหน้าเลย ซึ่งบรรดาเพลงที่ใช้ในหนังเรื่องนี้ก็หลากหลายแนวคละเคล้ากันไป ทั้งเพลงแนวไซคีเดอร์ลิกร็อค (วง CAN) อีเล็กโทรนิค (Aphex Twin, Stereolab) หรืออาร์ตร็อค (The Velvet Underground) เป็นต้น

Morvern Callar 05

ที่ผับคอลลาร์พบเพื่อนสนิทอย่าง ลานนา เธอทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากมีใครเอ่ยถามถึงแฟน คอลลาร์ก็ได้แต่ตอบไปว่า “เขาทิ้งฉันไปแล้ว” เธอใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง เมามาย เต้นรำ นอนกับใครก็ได้ คล้ายเธอพยายามจะกลบความเศร้าและเจ็บปวดเอาไว้ แต่เมื่อเธอเดินทางกลับบ้าน เธอก็ยังไม่จัดการศพ และใช้ชีวิตคล้ายมันเป็นเพียงสิ่งของสักชิ้นในบ้าน

สุดท้าย เมื่อศพเริ่มเน่าส่งกลิ่น คอลลาร์จัดการหันศพเป็นชิ้นๆ เพื่อนำไปฝังยังที่ห่างไกลในชนบท ในขณะเดียวกัน เธอเปิดคอมพิวเตอร์ ลบชื่อของแฟนหนุ่ม และเปลี่ยนชื่อเธอเป็นผู้เขียนแทน ก่อนจะพิมพ์ทั้งหมดส่งสำนักพิมพ์ในแบบที่ไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะเป็นยังไง…ดูคล้ายทั้งหมดอาจเป็นการแก้แค้นของเธอต่อแฟนหนุ่มก็เป็นได้

Morvern Callar 01

คอลลาร์ถอนเงินในบัญชีที่แฟนหนุ่มทิ้งให้เป็นค่าทำศพ และชวนลานนาไปเที่ยวสเปน ครึ่งหลังของเรื่องนี้ Morvern Callar กลายเป็นหนัง Road Movie มิใช่ในเชิงการเดินทางในเชิงกายภาพเท่านั้น แต่มันคือ “การเดินทางในจิตใจ” ของตัวคอลลาร์เองอีกด้วย เธอไปเที่ยวตามที่ต่างๆ อันห่างไกล ไปตามสถานบันเทิงเพื่อหาชายหนุ่มสักคน หนึ่งในนั้นได้รับข่าวร้ายว่าแม่เสียชีวิตระหว่างอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ก่อนที่ท้ายที่สุด คอลลาร์ก็รู้ตัวว่า เธอกำลัง “หลงทาง” และตัดสินใจหันหน้ากลับไปเผชิญหน้ากับความจริงที่เธอเดินหนีมาตลอด

ในขณะชมหนังเรื่องนี้ เราอาจงุนงงในการตัดสินใจหลายๆ อย่างของเธอ หากสิ่งที่เราเห็นภาพภายนอกที่ดูเหมือนสุขกายสบายดีของคอลลาร์ หนังกลับมอบอารมณ์ความรู้สึกอันจมดิ่งสิ้นหวังไร้ทางออกแก่ผู้ชม จนเราเองก็อดคิดไม่ได้ว่า หากเราต้องอยู่ในภาวะเช่นเธอจะตัดสินใจทำอย่างไร

Morvern Callar 03

…ซีนจบของหนังเรื่องนี้ คอลลาร์กลับมาอยู่ในผับเดิมที่ตัวเธอคุ้นเคย ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลานนาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังกลับจากสเปน ขณะที่ผู้คนเบียดเสียดแน่นขนัดท่ามกลางแสงไฟวูบวาบ คอลลาร์หยิบวอล์กแมนเครื่องเดิมขึ้นมาฟัง เพลง Dedicated to the One I Love ของ The Mamas and the Papas ดังขึ้น ภาพที่จับใบหน้าอันเหมือนเรียบเฉยของเธอ ที่พลางสอดส่ายสายตาเหมือนหาอะไรบางอย่าง พร้อมกับเนื่อเพลงที่เหมือนแทนความรู้สึกเธอ ณ ขณะนี้

“While I’m far away from you, my baby
I know it’s hard for you, my baby
Because it’s hard for me, my baby
And the darkest hour is just before dawn

Each night before you go to bed, my baby
Whisper a little prayer for me my baby.
And tell all the stars above
This is dedicated to the one I love.

Love can never be exactly like we want it to be.
I could be satisfied knowing you love me.
There’s one thing I want you to do especially for me
And it’s something that everybody needs.

While I’m far away from you, my baby…”

***เรียบเรียงจาก BIOSCOPE ฉบับที่ 15 (กุมภาพันธ์ 2546)

The post รื้อหิ้งหนังเก่า : Morvern Callar (2002) – Dedicated to the One I Love appeared first on Mthai Movie.

หนังโลกที่เราอยากดู : The Project of the Century (2015) –คน/เมือง/นิวเคลียร์

$
0
0

The Project of the Century (2015) – คน/เมือง/นิวเคลียร์

La obra del siglo 01

The Project of the Century (La obra del siglo) หนังรางวัลไทเกอร์อวอร์ด หรือภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในเทศกาลหนังนานาชาติเมืองร็อตเตอร์ดาม (International Film Festival Rotterdam 2015) จากคิวบาเรื่องนี้ เป็นผลงานกำกับของ การ์ลอส เอ็ม กินเตลา (Carlos M. Quintela) ผู้กำกับหนุ่มที่สร้างชื่อจาก La Piscina ในปี 2011 (หนัง Coming of age ว่าด้วยช่วงสั้นๆ ในหน้าร้อนของกลุ่มเพื่อน โดยเหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้น ณ บริเวณสระว่ายน้ำ)

winner of rotterdam 2015

จากซ้ายไปขวา – ผู้ชนะรางวัล Tiger Award ในปีนี้ ได้แก่ จักรวาล นิลธำรงค์ จาก Vanishing Point, Carlos M. Quintela จาก The Project of the Century และ Juan Daniel F. Molero จาก Videophilia (and Other Viral Syndromes)

คราวนี้กินเตลากลับมาทำหนังที่ต่างออกไป เพราะมันว่าด้วยชีวิตผู้คนในเมือง Juragua หรือ ‘อีเล็กโตร-นิวเคลียร์ ซิตี้’ คือเมืองใหม่ของคิวบาที่สร้างขึ้นช่วงทศวรรษ 1980 ภายใต้เงินทุนสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต หวังให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดใหญ่ เป็นฮับที่จะเริ่มโครงการนิวเคลียร์อื่นๆ ต่อไปในประเทศแถบทะเลแคริบเบียน และอาจรวมถึงการติดตั้งเตาปฏิกรณ์ คิวบาเกณฑ์ประชาชนจำนวนหนึ่งเข้ามาอยู่ที่นี่ พร้อมสัญญาว่าพวกเขาจะมีงานทำในโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จ และเมืองแห่งนี้จะเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างไม่อาจประมาณได้ – สิบปีผ่านไป สหภาพโซเวียตล่มสลาย คิวบาวิ่งเต้นหาประเทศที่สามมาช่วยเดินโครงการต่อแต่ไม่สำเร็จ ก่อนจะลงนามในข้อตกลงยกเลิกโครงการกับรัสเซียเมื่อราวทศวรรษ 2000

โดย The Project of the Century เล่าถึงชีวิตผู้ชายสามรุ่น (ปู่-พ่อ-หลาน) ผู้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่หมดลมหายใจและสิ้นแล้วซึ่งความเคลื่อนไหว – ที่กินเตลาฉายภาพความเจ็บปวดของการหยุดนิ่งอันหมดหวังด้วยภาพขาวดำ ที่ยิ่งทำให้อาคารโรงไฟฟ้าที่ถูกทิ้งร้างนั้นแลดูใหญ่โตกระทั่งกดทับชีวิตมนุษย์รอบๆ ตัว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่คิวบาติดหล่มทางการเมืองมานานนับทศวรรษอันแสดงให้เห็นผ่านรายการและโฆษณาโทรทัศน์ที่ยังยึดติดกับรูปแบบโฆษณาชวนเชื่อสมัยสงครามเย็น

La obra del siglo 03

“ซากปรักหักพังกดลงบนบ่าของชายสามรุ่นผู้เงียบงัน เหมือนจะเหลือเพียงเบนจามิน ปลาทองสัตว์เลี้ยงของบ้านนี้ ที่รู้ดีว่าจะหายใจใต้น้ำได้อย่างไร” นี่คือเรื่องย่อส่วนหนึ่งของหนัง ชายสามรุ่นที่ว่านั้นได้แก่ ราฟาเอล อดีตช่างเทคนิคโรงไฟฟ้าที่อยู่บ้านเดียวกับ อ็อตโต พ่อวัยแปดสิบเศษที่เกลียดทุกสิ่งบนโลก สุดท้ายคือ ลีโอนาร์โด ไอ้หนุ่มสักลายวัย 23 ที่กลับมาอยู่บ้านพ่อหลังหย่าเมีย เพื่อพบว่าพ่อกำลังมีแฟนใหม่ที่มาอยู่ในบ้านเดียวกัน พวกเขาคือตัวแทนประวัติศาสตร์ดิ่งเหวของคิวบาหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่กินเตลา เล่าผสานกับฟุตเตจหนังเก่าของ ซารา โกเมซ (ผู้กำกับหญิงคิวบาคนสำคัญที่เสียชีวิตด้วยอายุเพียง 31) ที่นักแสดงผู้รับบทอ็อตโตเคยปรากฏตัวอยู่ในนั้น ฟุตเตจตกค้างจากสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของเมืองในตอนที่อะไรๆ ทำท่าจะไปได้ดี และภาพ HD สีสันสวยสดจากโอลิมปิก 2012 ที่นักมวยจาก Juragua คว้าเหรียญทองให้ชาติ

“ผมเพิ่งรู้เรื่องเมืองนิวเคลียร์นี้เมื่อหกปีก่อน” กินเตลาเล่า “ผมขับรถเข้าไปให้ใกล้ที่สุดหลังจากเห็นโดมประหลาดที่แปลกแยกจากสภาพแวดล้อม ขับไปใกล้กระทั่งมีการ์ดออกมาไล่” หลังจากนั้นเขามีโอกาสได้เวิร์คช็อปร่วมกับคณะละครเวทีจาก Juragua และชาวเมืองระหว่างคลาสเรียนเขียนบท ก่อนจะเสนอฉากนี้เข้ากับบทภาพยนตร์ของ อาเบล อาร์กอส (มือเขียนบทที่ร่วมงานกับเขาใน La Piscina) ที่ว่าด้วยชีวิตอันโดดเดี่ยวของชายสามรุ่น และเขย่าออกมาเป็น The Project of the Century ในที่สุด

La obra del siglo 02

“ที่นี่ถูกทิ้งและถูกลืมไปจากประวัติศาสตร์ของชาติ กลายเป็นเมืองผีสิงที่มีมนุษย์จริงๆ อาศัยอยู่อย่างยากลำบากเพื่อชักหน้าให้ถึงหลัง และมีอีกหลายแห่งในคิวบาที่ถูกทอดทิ้งอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าที่นี่เสียอีก “หนังเรื่องนี้มี ‘ความเร่งรีบ’ อยู่ในตัว มันเกิดจากความรู้สึกอยากเล่าเรื่องขั้นสูงสุดในตัวผม” เขาบอก “แม้เราจะได้ทุนสนับสนุนและใบอนุญาตจากรัฐ แต่คุณก็รู้ว่าในประเทศแบบนี้ แค่โทรศัพท์สายเดียวก็หยุดทุกอย่างได้ ไม่นับว่าผมยังต้องใช้หนี้จากหนังเรื่องนี้อยู่ แถมยังต้องรบราฆ่าฟันกับพรินเตอร์ห่วยแตกกับการไฟฟ้าที่ไม่เสถียรระหว่างถ่ายทำอีก”

แต่นับเป็นโชคดีของเขาที่หลังจากผลงานชิ้นนี้ นอกจากสารคดีที่เล่าเรื่องเมืองนิวเคลียร์แห่งนี้โดยตรงที่เขาจะลงมือเขียนบทแล้ว เขาจะได้ถ่ายหนังนอกประเทศร่วมกับโปรดิวเซอร์ชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า นาโอมิ คาวาเสะ!

**เรียบเรียงจาก World cinema โดย ปราชญ์
BIOSCOPE ฉบับที่ 158 (มีนาคม 2558)

The post หนังโลกที่เราอยากดู : The Project of the Century (2015) – คน/เมือง/นิวเคลียร์ appeared first on Mthai Movie.

แม่บ้านรุ่นใหญ่ ทหารหลับไหล และฝันประหลาด ใน 3 คลิปใหม่จาก รักที่ขอนแก่น

$
0
0

เทศกาลหนังเมืองคานส์ปีนี้ มีข่าวดีให้คอหนังคุณภาพชาวไทยได้ชื่นใจกันอีกครั้ง เมื่อ Cemetery Of Splendour หรือ รักที่ขอนแก่น ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ เจ้ย อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ที่ได้ไปฉายในประเภทหนังนอกสายประกวด ให้สายตาชาวโลกได้พิสูจน์ความยอดเยี่ยม โดยยังคงสไตล์จัดจ้าน และเล่าเรื่องด้วยความสุขุมแฝงแนวคิดมากมายเช่นเดิม และล่าสุดนี้ได้ปล่อยคลิปใหม่มาให้ชมกันอีกชุด ในแบบที่เห็นแล้วอยากเชียร์ให้เข้าฉายในไทยแบบเร็วๆ เสียจริง

รักที่ขอนแก่น ถ่ายทอดเรื่องราวในจังหวัดขอนแก่น อันเป็นบ้านเกิดของผู้กำกับ โดยเน้นไปที่ แม่บ้านวัยกลางคนชีวิตโดดเดี่ยว ที่ต้องรับหน้าที่ดูแลทหารหนุ่ม ผู้เจ็บป่วยกลายเป็นเจ้าชายนิทรา และตกลงสู่ห้วงความฝันแปลกประหลาด ภาพหลอน ภูติผี และรักโรแมนติก โดยแฝงคติเรื่องการหลบลี้จากความเป็นจริง และยังเป็นบันทึกส่วนตัวที่ต่อสถานที่ที่ผูกติดในชีวิตของ เจ้ย อีกด้วย

โดยผลงานก่อนหน้านี้ ของผู้กำกับ เจ้ย อภิชาติพงศ์ อาทิเช่น สัตว์ประหลาด, สุดเสน่หา, แสงศตวรรษ ต่างก็คว้ารางวัลมาแล้วมากมายจากเทศกาลหนังทั่วโลก แต่ที่คนไทยรู้จักอย่างแพร่หลาย คือการที่ ลุงบุญมีระลึกชาติ คว้าปาล์มทองคำ อันเป็นรางวัลสูงสุดของเทศกาลหนังเมืองคานส์มาได้ และส่งแรงกระเพื่อมจนผลักดันให้เกิดการสนับสนุนวงการหนังอินดี้ขึ้นมากมาย

ต้องติดตามกันในเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีนี้ว่า Cemetery Of Splendour รักที่ขอนแก่น จะสร้างเสียงฮือฮาขึ้นขนาดไหน และผู้ชมชาวไทยคงต้องรอลุ้นกันต่อไป ว่าจะได้ชมเต็มๆ ในโรงภาพยนตร์ หรือรอแผ่นกันไปตามขนบหนังอินดี้อย่างน่าเสียดาย

Cemetery Of Splendour Poster

—————————–

The post แม่บ้านรุ่นใหญ่ ทหารหลับไหล และฝันประหลาด ใน 3 คลิปใหม่จาก รักที่ขอนแก่น appeared first on Mthai Movie.

หนังโลกที่เราอยากดู : Goodbye to Language 3D (2014) –เมื่อโกดาด์ทำหนัง 3D

$
0
0

Goodbye to Language 3D (2014) – เมื่อโกดาด์ทำหนัง 3D

Goodbye to Language 3D - poster

สำหรับผู้นิยมชมชอบหนังอันหลากหลายแล้ว น่าจะเคยได้ผ่านตาหรืออย่างน้อยได้กิตติศัพท์ร่ำลือถึงผลงานของ ฌ็อง-ลุก โกดาด์ (Jean-Luc Godard) มาบ้างไม่มากก็น้อย ในฐานะนักทำหนังคนสำคัญในกลุ่ม French New Wave (กลุ่มผู้กำกับชาวฝรั่งเศสรุ่นใหม่ที่โดดเด่นอย่างมากในช่วง 1958 -1964 ทั้งกลุ่มคนทำหนังที่ผันตัวมาจากนักวิจารณ์ใน กาเยส์ ดู ซีนีมา อย่าง โกดาด์, ฟรองซัวส์ ทรุฟโฟร์, อีริก โรห์แมร์, โคลด์ ชาโบล ไปจนถึงนักทำหนังรุ่นใหม่ในตอนนั้นอย่าง อาญส์ วาร์ดา เป็นต้น) ที่ไม่เคยหยุดท้าทายตัวเองในการเล่าเรื่องผ่านภาพยนตร์

แต่ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ โกดาด์ในวัย 84 ปี จะลุกขึ้นมาทำหนัง 3D ที่คนทำหนังเริ่มมองว่าไม่ใช่ของฮิตน่าลองอีกแล้ว แถมโกดาด์ยังรีดเค้นศักยภาพของเทคโนโลยีได้เข้มข้นพอๆ กับกวนประสาทและแสดงความไร้ประโยชน์ของมันเสียด้วย

Goodbye to Language 3D 02

ในขณะที่หนังสามมิติระดับปรากฏการณ์ทั้งหลายล้วนอวดอ้างมิติแห่งความสมจริง (ด้วยฉากหลังและเนื้อเรื่องทั้งอาณาจักรแฟนตาซีหรืออวกาศ) โกดาด์กลับเลียนแบบและชี้ให้เห็นข้อบกพร่องของดวงตามนุษย์ ผ่านภาพ 3D ที่ประกอบสร้างอย่างหลากหลายจากกล้องถ่ายหนังราคาแพง ไปจนถึงกล้องคอมแพ็ค และกล้องโทรศัพท์มือถือ และหลายฉากเขาใช้กล้องคนละประเภท เลนส์คนละขนาด ทำหน้าที่เป็นกล้องสองตัวที่ควรถ่ายภาพเพื่อสร้างความเป็นสามมิติ

เราได้เห็นกิ่งไม้วูบผ่านสายตา เห็นมิติลึกซึ้งสวยงามของดอกไม้ลอยน้ำ ไปจนถึงการวางกล้องแบบก้ำกึ่งให้วัตถุใกล้ตาเรามากที่สุดอยู่ริมขอบจอจนรำคาญซับไตเติลและหนังสือปรัชญาโดดเด่นกว่าหน้าตัวละคร หรือเอียงกล้องกระเท่เร่ไปจนถึงลอกเลียนภาพที่เกิดจากการมีวัตถุใกล้สายตามากเกินไป (ซึ่งทำให้เราไม่สามารถมองเห็นของที่ใกล้และไกลได้ชัดเท่ากัน) ลอกเลียนการที่ตาสองข้างของมนุษย์มองภาพเดียวกันแต่แตกต่างในรายละเอียด (เช่น ตาขวาเปื้อนฝุ่นข้างเดียว) บางภาพเพียงถอดแว่นสามมิติออกก็จะพบกลอุบายและภาพที่แท้ แต่เมื่อโกดาด์ให้กล้องสองตัวที่ควรสร้าง 3D ถ่ายภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (แทนที่จะถ่ายภาพเดียวกัน) การดูผ่านแว่นหรือถอดแว่นทำให้ประสาทตาเห็นแต่ความพิสดารจึงต้องหลับตาหนึ่งข้างเพื่อมองเห็นภาพที่ชัดเจนหนึ่งภาพแบบ 2D หรือกะพริบตาสลับข้างไปมาเพื่อจับอุบายของหนัง

Goodbye to Language 3D - godard

ฌ็อง-ลุก โกดาด์ (นั่ง) ในกองถ่ายหนังเรื่องนี้

โกดาด์กระโดดลงไปหาลูกเล่นใหม่ของภาพยนตร์ที่ยังไม่มีกฎชัดเจนแต่ก็เสมือนว่ามี (ไม่งั้นคงบอกไม่ได้ว่าสิ่งที่ เขาถ่ายนั้น ปกติหนัง 3D ไม่ทำ, วิธีถ่ายแบบนี้ปกติไม่ใช้กัน) ข้อนี้นำไปสู่ประเด็นสำคัญเช่นเดียวกับหนังเรื่องก่อนหน้านี้ของเขา (Film Socialisme, 2010) นั่นคือข้อจำกัดของมนุษย์ ภาษา และการสื่อสาร

Goodbye to Language 3D 01

นอกจากภาพกับเทคนิคสามมิติ โกดาด์ยังเล่นกับคนดูด้วยการแปลซับไตเติลไม่ครบถ้วน เสียงออกจากลำโพงไม่สม่ำเสมอ หรือกระทั่งให้ตัวละครยืนแก้ผ้าถกปรัชญากันยืดยาวโดยที่คนหนึ่งนั่งอุจจาระอยู่ (พร้อมกับเสียงตดที่ดังต่อเนื่องจากลำโพงเพียงตัวเดียว) การมีอยู่ของสุนัขที่เป็นสัตว์เลี้ยงของเขาเองคือภาพแทนของสัตว์ที่สะท้อนข้อจำกัดของมนุษย์ เมื่อการสื่อสารได้ลดรูปทุกสิ่งให้เป็นเพียงกลุ่มคำ และคำก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง – ‘คำ’ และ ‘ภาษา’ นี้จึงไม่ใช่แค่การสื่อสารผ่านอักษรหรือเสียง แต่หมายถึงภาษาภาพด้วยเช่นกัน

เรียบเรียงจาก นิตยสาร BIOSCOPE ฉบับที่ 156 (เดือนมกราคม 2557)

The post หนังโลกที่เราอยากดู : Goodbye to Language 3D (2014) – เมื่อโกดาด์ทำหนัง 3D appeared first on Mthai Movie.

รวมเกร็ดหนังเปิดเมืองคานส์ –จะรุ่ง หรือ รุ่งริ่ง!

$
0
0

รวมเกร็ดหนังเปิดเมืองคานส์ – จะรุ่ง หรือ รุ่งริ่ง!

โดยกองบรรณาธิการ BIOSCOPE

cannes-film-festival-saidaonline

เริ่มต้นไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับเทศกาลหนังที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดแห่งหนึ่งอย่าง Cannes International Film Festival ซึ่งในปีนี้หนังที่ได้รับคัดเลือกเพื่อเปิดงานในปีนี้ ได้แก่หนังคราม่าของผู้กำกับหญิงชาวฝรั่งเศส เอมมานูเอล เบร์โกต์ (Emmanuelle Bercot) อย่าง Standing Tall แม้ดูจะเข้ากับธีมของคานส์ปีนี้ผู้หญิงดูจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษ แต็ไม่วายโดนวิจารณ์จากสื่อว่า เป็นหนังเปิดเทศกาลที่ออกจะจริงจังไปสักนิด เมื่อเทียบกับหนังแมนๆ ที่สนุกกว่าอย่าง Mad Max: Fury Road ที่ก็มีความเป็นเฟมินิสอยู่สูงเช่นกัน

Standing Tall - หนังเปิดเทศกาลหนังนานาชาติเมืองคานส์ ปี 2015 นี้

Standing Tall – หนังเปิดเทศกาลหนังนานาชาติเมืองคานส์ ปี 2015 นี้

หากย้อนไปมองหลายๆ ปี ดูเหมือนว่าเทศกาลหนังเมืองคานส์มักจะเลือกหนังจากฮอลลีวูดเพื่อเพื่อเรียกแขกและสร้างสีสันเป็นหลัก แต่ด้วยความเคี่ยวของสื่อมวลชนในเทศกาลนี้ จึงเป็นเหตุให้ชะตากรรมของหนัง (หรือแม้แต่ตัวผู้กำกับ) ที่มาเปิดตัวในคานส์ ถูกจับตามองและคาดหวังมากเป็นพิเศษ ซึ่งในที่สุด บรรดาคำวิจารณ์ต่างๆ ก็มักส่งผลกับหนังในเวลาหลังจากนั้น ทั้งลบและบวกยากจะคาดเดา…และนี้คือตัวอย่างของหนังที่เคยถูกเลือกมาเปิดในเทศกาลหนังแห่งนี้

 

Moulin Rouge! (2001)

ก่อนฉาย : ชื่อของผู้กำกับชาวออสเตรเลียอย่าง บาซ เลอร์มานน์ ถูกรู้จักในฐานะผู้กำกับหนังโศกนาฏกรรมความรักที่ดัดแปลงมาจากหนังสือของ วิลเลี่ยม เซคสเปียร์ อย่าง Romeo + Juliet (1996) ในเวอร์ชั่นที่เปรี้ยวจี๊ดสไตล์จัดจาน จนคนดูอดคาดหวัง เมื่อเขากลับมาในรอบ 5 ปี ด้วยหนังแนวมิวสิคัลเต็มรูปแบบที่ว่าด้วยความรักระหว่างนักเขียนหนุ่มกับนางโชว์สุดอลังการเรื่องนี้

Moulin Rouge! (2001)

หลังฉาย : ด้วยสไตล์องค์ประกอบศิลป์อันฉูดฉาด ไปจนถึงการนำบรรดาสารพันเพลงฮิตจากยุคต่างๆ ที่มีตั้งแต่เพลงป็อบจากยุค 80 อย่าง Like a Virgin ของมาดอนน่า หรือเพลงกรันจ์ร็อคสุดดังของ Nirvana อย่าง “Smells Like Teen Spirit” มาเรียบเรียงใหม่ใช้ในสไตล์ละครมิวสิคัลได้อย่างมีเสน่ห์ จนได้รับการตอบรับจากนักวิจารณ์อย่างอบอุ่นและได้รับการยกย่องว่าเป็นมาสเตอร์พีชของเลอร์มานน์จนถึงวันนี้ซึ่งก็รวมไปถึงรายได้ทำไปแบบไม่เจ็บตัวในอเมริกา แถมไปไกลถึงการคว้า 5 รางวัลออสการ์กลับบ้าน ซึ่งรวมไปถึงสาขาใหญ่สุดอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย

 

My Blueberry Nights (2007)
ก่อนฉาย : หนังภาษาอังกฤษเรื่องแรกของผู้กำกับชาวฮ่องกงที่มีลายเซ็นชัดเจนอย่าง หว่อง กาไว ด้วยสไตล์การเล่าเรื่องอันเป็นเอกลักษณ์ ไปจนถึงการกำกับภาพอันวูบไหวของ คริสโตเฟอร์ ดอยล์ ตากล้องคู่บุญ และการเอา “ความเหงา” มาทำให้เป็นอารมณ์อันสุดป็อบ จนทำให้ช่วงยุค 90 กลายเป็นช่วงเวลาทองของผู้กำกับคนนี้ก็ได้ ทั้ง Chungking Express (1994), Happy Together (1997– ที่ส่งเขาได้รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมในเทศกาลนี้) หรือ In the Mood for Love (2000) เป็นต้น ก่อนจะหายไปสี่ปีกับการทำ 2046 (2004) ที่โดนนักวิจารณ์หลายๆ คนตำหนิว่า หว่องยังคงวนเวียนอยู่กับสไตล์เดิมๆ จนน่าเบื่อไปเสียแล้ว

My Blueberry Nights (2007)

หลังฉาย : แม้จะมีองค์ประกอบอันน่าตื่นเต้น ทั้งการได้นักร้องสาวอย่าง นอร่าห์ โจนส์ มาเล่นหนังเป็นเรื่องแรก แถมด้วยนักแสดงเกรดเออย่าง จู๊ด ลอว์, ราเชล ไวซ์, นาตาลี พอร์ตแมน ที่มากันคนละนิดละหน่อย ปรากฏว่าเสียงวิจารณ์หลังฉายแตกออกเป็นทั้งเกลียดและรักแยกกันชัดเจน ทั้งกล่าวชมหนังโรแมนติก – โรดมูฟวีที่ว่าด้วยสาวผู้ใจสลายจากแฟนเก่า ก่อนออกเดินทางเพื่อเยียวยาใจตัวเองเรื่องนี้ สามารถถ่ายทอดความรู้สึกเหงาเศร้าผ่านการเล่าเรื่องด้วยภาพ ผ่านฝีมือของ ดาริอุส คองยี (ตากล้องชั้นครูของวงการที่มารับหน้าที่แทน คริส ดอยล์) ผ่านทัศนียภาพของประเทศอเมริกาและบรรยากาศแสงไฟในยามกลางคืน แต่ทั้งหมดที่ว่ามานั้นอีกฝั่งกลับมองว่ามันช่างห่างไกลจากสิ่งที่น่าจดจำซึ่งตัวหว่องเคยทำได้เมื่อครั้งทำงานนอกอเมริกาเหลือเกิน

สุดท้าย หนังทุนสร้าง 10 ล้านเหรียญ กลับทำเงินในอเมริกาไปได้ไม่ถึงล้านเหรียญแต่ในส่วนตัวหว่องก็ออกมาให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า สำหรับตัวเขาMy Blueberry Nights คือหนังฮ่องกงที่มาถ่ายทำในอเมริกาและทีมงานที่มีฝีมือของที่นี่เท่านั้นเอง)

 

Blindness (2008)
ก่อนฉาย : ผู้กำกับชาวบลาซิเลียน เฟอร์นันโด ไมเรล์เลส (Fernando Meirelles) ที่โด่งดังจาก City of God (2002) (หนังcoming of age ที่เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มผู้เติบโตท่ามกลางความรุนแรงในชุมชนแออัดกลางริโอ เดอ จาเนโร) ก่อนจะข้ามมาแจ้งเกิดในอเมริกาด้วย The Constant Gardener (2005) ที่ได้เข้าชิงออสการ์หลายสาขา ก่อนจะคว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม (จาก ราเชล ไวซ์) และสาขาบทดัดแปลงยอดเยี่ยม โดยคราวนี้ไมเรล์เลส์ กลับมาพร้อม Blindness หนังที่ดัดแปลงจากนวนิยายไว-ไฟลึกลับของนักเขียนรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม โชเซ สารามาโก (José Saramago) ว่าโรคระบาดประหลาดที่ทำให้ผู้คน “ตาบอดสีขาว”

Blindness (2008)

หลังฉาย : หนังได้รับคำวิจารณ์ในด้านบวก โดยเฉพาะการสร้างบรรยากาศโลก dystopia ได้อย่างเป็นเอกลักษณ์ของไมเรล์เลสที่ตั้งใจดัดแปลงให้ใกล้เคียงกับตัวหนังสือมากที่สุด (ซึ่งประทับใจ สารามาโก จนถึงขนาดหลั่งน้ำตา และกล่าวว่าการดูหนังเรื่องนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนเขาเขียนหนังสือจบก็ไม่ปาน) ไปจนถึงการแสดงของสามตัวละครหลักอย่าง จูลีแอนน์ มัวร์, มาร์ค รัฟฟาโร และ กาเอล กาเซีย เบอร์นัล

แต่ปรากฏว่า…หนังเจ๊งไม่เป็นท่า หลังเข้าฉายจริงในอเมริกา จากทุนสร้าง 25 ล้านเหรียญ แต่หนังเก็บไปได้เพียงราว 20 ล้านเหรียญเท่านั้น ส่วนตัวของไมเรล์เลสเอง หลังไม่ประสบความสำเร็จนักกับหนังเรื่องนี้ก็กลับไปทำหนังและซีรีส์ในบ้านเกิดของตนเองจนถึงปัจจุบันนี้

 

Up (2009)

ก่อนฉาย : สำหรับการเลือกแอนิเมชั่นจากค่ายพิกซาร์เรื่องนี้มาเปิดในเทศกาลหนังเมืองคานส์ ถือได้ว่ามีความเป็นพิเศษอยู่สองอย่าง คือหนึ่งนี้เป็นแอนิเมชั่นเรื่องแรกที่ได้ฉายเปิดในเทศกาลนี้ และสองคือ นี่ยังเป็นหนังเปิดคานส์ที่ฉายในระบบสามมิติเรื่องแรกอีกด้วย โดย UP เป็นแอนิเมชั่นลำดับที่สิบของสตูดิโอพิกซาร์ และเป็นผลงานกำกับเรื่องที่สองของ พีท ด็อกเตอร์ จาก Toy Story 2 โดยว่าด้วยการผจญภัยของ คาร์ล คุณตาหน้าเบื่อโลก กับ รัซเซล เด็กอ้วนช่างสงสัยที่มาวุ่นจนทำให้เขา ต้องผูกบ้านกับลูกโป่งเพื่อหนีให้พ้น ก่อนจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางที่พวกเขาลืมไม่ลง

UP (2009)

หลังฉาย : มีนักวิจารณ์บางคนถึงกับให้คะแนนเต็มสิบ! นั่นอาจจะดูเว่อร์เกินความคาดหมาย แต่กระแสที่ออกมานั่นไปในทางบวกอย่างเป็นเอกฉันท์ โดยเฉพาะแง่มุมความสัมพันธ์ของคาร์ลและภรรยาที่ถูกปูมาในต้นช่วงเรื่องที่ทำให้ผู้ชมสนุกและอินกับหนังไปตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งการที่คานส์เลือกเอาแอนิเมชั่นเรื่องนี้มาเปิดเทศกาล ก็อาจจะเป็นหมุดหมายสำคัญในการสื่อถึงยุคทองของแอนิเมชั่น ณ ขณะนั้นก็ว่าได้

ซึ่งสุดท้าย UP ได้กลายเป็นความสำเร็จที่สุดครั้งหนึ่งของพิกซาร์ ด้วยการทำเงินในอเมริกากว่า 293 ล้านเหรียญสหรัฐ และกวาดทั่วโลกกว่า 730 ล้านเหรียญ พร้อมทั้งกวาดคำชมและรางวัลไปมากมาย รวมไปถึงสาขาแอนิเมชั่นยอดเยี่ยมบนเวทีลูกโลกทองคำและออสการ์ในปีนั้นอีกด้วย

 

Grace of Monaco (2014)
ก่อนฉาย : หนังถูกจับตามองอย่างมากในฐานะภาพยนตร์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของ เกรซ เคลลี นักแสดงฮอลลีวูดที่โชคชะตาพลิกผันดั่งเทพนิยาย กลายเป็น ‘เกรซแห่งโมนาโก’ โดยได้ผู้กำกับชาวฝรั่งเศสอย่าง โอลีวีเยร์ ดาอ็อง (Olivier Dahan) ที่มีเครดิตจาก La Vie en Rose (2007) ที่แจกเกิดนักแสดงสาว มาริยอง โกติยาร์ด แบบเต็มตัวมาแล้ว

โดยใน Grace of Monaco ยังได้นักแสดงดังอย่าง นิโคล คิดแมน มารับเจ้าหญิงเกรซ และ ทิม ร็อธ เป็นเจ้าชายเรนีเยร์ที่สาม แต่กระนั้น หนังก็มีเค้าลางแห่งหายนะ เมื่อเกิดปัญหาระหว่างดาอ็องกับ ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ที่สั่งให้เขาไปตัดหนังมาเสียใหญ่เพราะมันเศร้าและน้ำเน่าเกินไป จนกระทั่งไปไกลถึงขั้นหนังมีสองเวอร์ชั่น คือเวอร์ชั่นฝรั่งเศสของดาอ็อง และเวอร์ชั่นฮอลลีวูดของไวน์สตีน (ที่ดาอ็องเรียกหนังเวอร์ชั่นนี้แบบเสียๆ ว่า “เศษขี้ก้อนโต” !)

Grace of Monaco (2014)

หลังฉาย : เราจะไม่ขอลงลึกละกันว่าหนังเรื่องนี้โดนด่าแบบเสียๆ หายๆ ยังไงบ้าง เอาเป็นว่ามันโดนสับเละเสียจนไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดกันเลยทีเดียว มิหนำซ้ำยังโดนตำหนิจาก เจ้าชายอัลแบร์ที่สอง, เจ้าหญิงกาโรลีน และเจ้าหญิงวเตฟานีแห่งโมนาโก พระบุตรและพระธิดาของเจ้าหญิงเกรซและเจ้าชายเรนีเยร์ที่สาม ว่าเต็มไปด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง จนเรียกหนังเรื่องนี้ว่า “เป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้น” เท่านั้น

The post รวมเกร็ดหนังเปิดเมืองคานส์ – จะรุ่ง หรือ รุ่งริ่ง! appeared first on Mthai Movie.

Viewing all 143 articles
Browse latest View live